วันที่ 16 ก.พ. 2564 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ดำเนินมาถึงช่วงท้ายของวันแรก โดย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้นำที่มือไม่ถึงไม่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นโยบายเศรษฐกิจเอื้อเจ้าสัว จึงตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์มีสายสัมพันธ์กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจขายไก่ขนาดใหญ่หรือไม่ อีกทั้ง คนไร้ความสามารถในตำแหน่งนายกฯ ทำให้คนไทยกว่า 30 ล้านคนยากจน ตนไม่นึกว่าคนหนึ่งคนจะสร้างความล่มจมได้ขนาดนี้ ทั้งนี้นับแต่การรัฐประหาร ประเทศมีความสูญเสียทางงบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท การระบาดโควิด-19 หากรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจะทำได้ดีกว่านี้
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า การแก้ปัญหาโควิดระลอดแรกต้องทำแม้เราจะจะเจ็บ ก็ไม่มีใครอยากให้ประชาชนเดือดร้อน ที่กล่าวหาว่าตนมีความสุขกับโควิดนั้น จิตใจของท่านทำด้วยอะไร ตนขอฝากให้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วย
'ก้าวไกล'ลุยชำแหละกองทัพสมัครใจเกณฑ์ทหาร
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม กรณีความล้มเหลวและบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ปล่อยปะละเลยในการกำกับดูแลหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม จนทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ โดยหยิบยกถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกองทัพ รวมถึงกรณีพลทหารเสียชีวิตในค่ายทหาร ทั้งนี้ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีคำสั่งให้กองทัพบกเปิดรับสมัครทหารกองประจำการแบบสมัครใจผ่านระบบออนไลน์ รับชายไทย ที่มีอายุ 18-20 ปี และที่มีอายุ 22-29 ปี ที่ผ่านการจับได้ใบดำมาแล้ว ให้สิทธิ์เลือกหน่วยทหารที่ตนเองสังกัดโดยไม่จำกัดภูมิลำเนาทหาร เพิ่มสิทธิประโยชน์ ให้มีสิทธิ์สอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตนวิเคราะห์แล้ว เข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์น่าจะพยายามสร้างแรงจูงใจให้มีคนมาสมัครเป็นทหารกองประจำการเพิ่มขึ้น เพราะน่าจะทราบถึง กระแสการเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ในเรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหารที่ดังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พิจารณ์ ระบุว่า แค่ในปี 2563 ปีที่แล้วปีเดียว มีพลทหารเสียชีวิตในค่ายทหารถึง 6 คน ที่ปรากฏเป็นข่าว สิ่งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีการสอบสวนนำไปสู่การลงโทษเฉพาะบุคคล แต่ไม่เคยมีนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบกับชีวิตที่สูญเสียไป
พิจารณ์ อภิปรายถึงเหตุการณ์หลังโศกนาฎกรรมกราดยิงโคราช หนึ่งในคำสัญญาปฏิรูปกองทัพคือ การจัดการกับกองทัพพาณิชย์ ที่เกี่ยวพันกับสวัสดิการกองทัพและการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุ ไม่ว่าจะเป็นสนามม้า สนามมวย สนามกอล์ฟ สถานพักตากอากาศ ที่ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนที่ราชพัสดุ เฉพาะที่กระทรวงกลาโหมถือครองอยู่ คิดเป็นจำนวน 6.25 ล้านไร่ หรือครึ่งหนึ่งของที่ราชพัสดุทั้งหมดที่มี เฉพาะของกองทัพบก ถือครองที่ราชพัสดุอยู่ 4.7 ล้านไร่ คำถามก็คือว่า ครึ่งหนึ่งของที่ราชพัสดุทั้งประเทศที่กระทรวงกลาโหมครอบครองอยู่ แล้วถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสวัสดิการทั้งในเชิงภายในและเชิงธุรกิจได้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าต่อประเทศชาติหรือไม่
“เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักข่าวออนไลน์ The Matter ออกมาเปิดเผยข้อมูล ว่าได้ใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เพียรพยายามขอข้อมูลผลประกอบการย้อนหลังของธุรกิจกองทัพเหล่านี้กว่า 10 เดือน แต่สุดท้ายที่ได้รับมาเป็นเพียงรายได้เฉลี่ยของกิจการต่างๆ ได้แก่ สถานพักตากอากาศ 5 แห่ง สนามกอล์ฟ 36 แห่ง สนามมวย 1 แห่ง สนามม้า 1 แห่ง แถมยังไม่มีการให้ข้อมูลของสนามมวยอีก 3 แห่ง และสนามม้าอีก 1 แห่ง ที่ใช้ข้ออ้างว่าปิดตัวไปแล้ว นี่คือการอำพรางตัว ไม่ยอมเปิดเผยงบการเงินของกิจการเหล่านี้ย้อนหลัง เปิดเพียงรายได้เฉลี่ย 5 ปี 724 ล้านบาท และมีรายจ่ายเฉลี่ย 5 ปี 649 ล้านบาท เห็นได้ชัดว่าไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ซ้ำยังสะท้อนให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพในการสร้างผลประโยชน์ เพราะนี่น่าจะเป็นการใช้ที่ดินราชพัสดุเกือบถึง 1 ล้านไร่ แต่เมื่อเอารายได้เฉลี่ยมาหักลบกับรายจ่ายเฉลี่ย มีผลต่างเพียง 75 ล้านบาทเท่านั้น แปลว่าที่ดิน 1 ล้านไร่ ได้กำไรคร่าวๆ 75 ล้านบาท ตกไร่ละ 75บาท เท่านั้น นอกจากนั้น การอ้างว่าเป็นการใช้ที่ราชพัสดุ เพิ่มสวัสดิการภายใน อย่างสนามกอล์ฟ 33 แห่ง จาก 36 แห่ง แปลว่า 33 แห่งนี้ ไม่ต้องทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์”
แฉ ทร.มีประเด็นที่ราชพัสดุเชิงธุรกิจ
พิจารณ์ยังกล่าวว่าความไม่โปร่งใสในการใช้ที่ดินราชพัสดุไม่ได้มีเพียงกองทัพบกเท่านั้น แต่กองทัพเรือเองก็มีประเด็นเช่นกัน ซึ่งในกรณีของกองทัพเรือนี้ เป็นการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุในเชิงธุรกิจ ที่ขอเรียกว่า ‘สวัสดิการเชิงธุรกิจแบบสัมปทาน’ ในโครงการทำเหมืองหินและโรงโม่หิน ที่ตั้งของโครงการดังกล่าว อยู่ที่เขาวังปลา อ.สัตหีบ บนเนื้อที่ 208 ไร่เศษ โดยมีพฤติกรรมเอื้อผลประโยชน์ให้เอกชนรายหนึ่ง จนเชื่อได้ว่าต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์กับนายทหารระดับ พล.ร.อ.อย่างแน่นอน และพล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้
ย้ำซื้อรองเท้าทหารเกณฑ์แพงกว่าท้องตลาด
พิจารณ์ยังอภิปรายต่อไปว่า เพราะที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมมีการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่โปร่งใส เชื่อได้ว่ามีการทุจริต โกงกินเงินภาษีประชาชน น่าเคลือบแคลงตั้งแต่กางเกงในไปจนถึงเรือดำน้ำ เริ่มต้นตั้งแต่โครงการจัดซื้อชุดลำลองทหารเกณฑ์ ซึ่ง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลได้อภิปรายประเด็นการจัดซื้อชุดลำลองของทหารเกณฑ์ที่มีราคาสูงเกินกว่าราคาในท้องตลาด เปรียบเทียบให้เห็นว่า ราคาที่กองทัพตั้งงบประมาณไว้นั้น สูงกว่าที่ขายปลีกกันใน shoppee เป็นเงินกว่า 90 ล้านบาท
พิจารณ์ อภิปรายโดยนำรองเท้า Jungle Boot ขึ้นมาแสดงระหว่างการอภิปรายพร้อมระบุว่า ขณะนี้กองทัพบกกำลังดำเนินการจัดซื้อ 218,000 กว่าคู่ ในราคา 1,732 บาท ในขณะที่ shoppee ขาย 600 บาท สรุปว่าเฉพาะรองเท้า Jungle boot รัฐบาลจ่ายแพงไปเกือบ 250 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรแก้ตัวว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างหรือเป็นไปตามการจัดซื้อตามราคากลางที่กำหนด หรือว่าที่ราคาถูกเพราะเป็นการผลิตเกินจากคำสั่งซื้อของกองทัพ
แฉซื้อกล้อง night vision แพงกว่าราคาขายจริง 47%
จากนั้น นายพิจารณ์อภิปรายถึงกรณีการจัดซื้อยุทธภัณฑ์โดยกรมการทหารช่าง โดยมีการจัดซื้อกล้องตรวจการณ์กลางคืน แบบตาเดียว ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Night Vision Scope โครงการนี้เป็นการจัดซื้อมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561-2563 โดยมีผู้ชนะรายเดียวมาตลอด และเป็นเรื่องที่น่าเคลือบแคลงฃ เพราะเป็นการชนะการประมูลที่ราคากลางพอดีที่ 495,000 บาท ตลอด 3 ปีงบประมาณ แม้เงินบาทต่อเงินดอลล่าร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น 3% จากปี 2561-2563 ทำให้ต้นทุนถูกลง 3% เป็นเงาตามตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราคาที่ชนะการประมูลเปลี่ยนแปลงไป ยังคงใช้ราคากลางเดิมมาตลอด 3 ปี
วอนจีนรีบเซ็นขายเรือดำน้ำผิดสังเกต
พิจารณ์ยังได้อภิปรายถึงกรณีการจัดซื้ออาวุธ-ยุทธโทธปกรณ์ ซึ่งการตรวจสอบราคาเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในกรณีของเรือดำน้ำที่อ้างว่า เป็นจีทูจี ที่ปรากฎพฤติกรรมชวนให้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าโครงการจัดซื้อจัดจ้าง เรือดำน้ำแบบเฉพาะเจาะจงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดซื้อครั้งนี้แน่นอน ตามที่ปรากฎเป็นข่าว ในข่าวสด ออนไลน์ ภาคภาษาอังกฤษ เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 มีการเผยแพร่เอกสาร จดหมายฉบับหนึ่ง ที่ลงนามโดย พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ อดีต ผบ.ทร.ที่ส่งถึงทางการจีน Mr. Xu Zhanbi State Administration for Science Technology and Industry for National Defense (SASTIND) ลงวันที่ 24 ก.ย. 2563 หรือ 6 วันก่อนที่อดีต ผบ.ทร.จะเกษียณอายุราชการ
แม้ว่าในเนื้อข่าวจะระบุว่า พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ โฆษกกองทัพเรือในขณะนั้น ได้ตอบคำถามทางสำนักข่าวว่าไม่ได้เห็นจดหมายฉบับดังกล่าวและไม่สามารถให้ความเห็นได้ รวมทั้งทางสถานทูตจีนที่ตอบคำถามทางสำนักข่าวว่ายังไม่ได้รับการติดต่อจากบุคคลใดในจดหมาย แต่ก็มีแหล่งข่าวระดับนายทหารเรือชั้นสัญญาบัตรหลายท่าน ที่บอกกับตนว่าเรื่องนี้มีมูล
"เนื้อหาที่ปรากฎในจดหมาย ชวนให้สงสัยเหลือเกิน ว่าทำไมอดีต ผบ.ทร.ถึงต้องเร่งรัดให้จีนมาเซ็นข้อตกลงก่อนที่ตนเองจะเกษียณอายุราชการขนาดนี้ เนื้อหาในจดหมายบางช่วงบางตอนแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเซ็นข้อตกลง เพื่อให้มีผลผูกมัดกับงบประมาณปี 2565 แสดงถึงความอยากได้จนไม่ลืมรู้ลืมตา เป็นผู้ซื้อแท้ๆ กลับไปอ้อนวอนผู้ขาย ไม่ได้ใช้ความคิดสักนิดเลย ว่าเศรษฐกิจไม่ดีขนาดนี้ มีโควิดทุกประเทศ มีการตัดงบประมาณซื้ออาวุธหมด ความจริงควรเป็นโอกาสที่ผู้ซื้อจะมีอำนาจต่อรอง แต่ทำไมจึงไม่คิดจะต่อรองราคากับเขาบ้าง"
พิจารณ์ระบุว่า เนื้อหาในจดหมาย แนะนำทางการจีนให้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนประจำประเทศไทย ให้เป็นผู้แทนในการลงนามข้อตกลงดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าจากมาตรการกักตัว และเพื่อให้สามารถลงนามได้ทันภายในวันที่ 30 ก.ย. อีกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ ตนเชื่อว่าที่ พล.ร.อ.ลือชัย ทำไป เป็นไปตามความต้องการของ รมว.กลาโหม เหมือนเมื่อครั้งที่มีการซื้อเรือดำน้ำลำที่หนึ่ง หากยังจำกันได้ ทหารบกออกมาให้ข่าว ทหารเรือยังไม่ทราบเรื่องว่าตัวเองจะของบประมาณซื้อเรือดำน้ำ เพราะมันเป็นความต้องการซื้อของ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ต้องรอหลังเป็นข่าวอีก หนึ่งสัปดาห์ พล.ร.อ.ลือชัย จึงค่อยออกมาแถลงข่าวและบินไปดูงานที่ประเทศจีน
"พล.อ.ประยุทธ์ คงจะห้ามประชาชนไม่ให้คิดกันไม่ได้ ว่าโครงการเรือดำน้ำนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนในเงินทอนแน่ๆ และตนเชื่อว่าเท่านี้ก็น่าจะสามารถแสดงให้พี่น้องประชาชนไม่มากก็น้อย เห็นตรงกันได้แล้ว ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เหลือความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไป" พิจารณ์ ระบุ
นายกฯ เตือน 'ก้าวไกล' พูดจาระวัง คนรักทหารเยอะ
การอภิปรายดำเนินมาถึงช่วงท้ายเมื่อเวลา 00.15 น. วันที่ 17 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงประเด็นที่ พิจารณ์อภิปรายว่า การจัดซื้อเป็นงบประมาณของกระทรวงกลาโหม งบฯส่วนใหญ่ดูแลผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว กระทรวงกลาโหมจัดซื้อทดแทนมาเพื่ออะไร จะบอกไม่รบกันก็ไม่ใช่ เพราะรอบบ้านก็มีเรือดำน้ำหมดแล้ว แล้วใครจะรับผิดชอบในวันข้างหน้า ตนไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เพราะเป็นการจัดซื้อกับรัฐบาลจีน ทำไมไม่ซื้อ 1 ลำ 2 ลำ ก็คงต้องชี้แจงต่อไปถึงเหตุผลความจำเป็น ส่วนที่ดินราชพัสดุไม่ใช่ของกองทัพ ใครจะใช้ต้องขออนุมัติผ่านในส่วนกรมธนารักษ์ แล้วติดต่อมายังกองทัพให้เขาในส่วนที่จำเป็น อีกทั้งรัฐบาลก่อนหน้าก็ขอมาเยอะ ยืนยันทหารไม่ใช่เจ้าของเป็นเพียงผู้ดูแล
"ท่านไม่ชอบทหารแน่นอน ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาอย่านึกถึงทหารละกัน หลายอย่างประชาชนก็ชอบ ท่านก็โจมตีทหาร" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า วันนี้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันหมด ยกเว้นคนทำผิดกฎหมาย ขอให้ระวังพูดจาระวัง คนรักทหารเยอะ ลูกหลานหลายคนก็เป็นทหาร ท่านมีแต่ลดกำลังทหาร ชายฉกรรจ์ควรเป็นกำลังทหาร ใครจะจับสลากใบดำใบแดง หรือเรียนนักศึกษาวิชาทหารก็ว่ากันไป หลายคนอยากเป็นทหารเพราะเบี้ยเลี้ยงสูงขึ้น เราก็มีมาตรการใหม่ๆ ไม่ใช่เอาทหารมาเยอะๆ เพื่อจะโกงท่านพูดแบบนี้ไม่น่าใช่
ทั้งนี้การประชุมสภาฯ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 10 คน นั้นในวันแรก เนื้อหาส่วนใหญ่ของฝ่ายค้านพุ่งเป้าโจมตีตามข้อกล่าวหาไปที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลักตลอดทั้งวัน กระทั่งเวลา 00.25 น. สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้สั่งพักการประชุมเพื่ออภิปรายต่อในเวลา 09.30 น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง