ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ ‘คนละครึ่ง’ เฟส 2 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) อนุมัติล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2563 โดยจะมีการเปิดลงทะเบียนเพิ่มใหม่อีก 5 ล้านคน ให้วงเงิน 3,500 บาทต่อราย และเพิ่มวงเงินให้กับผู้ที่ลงทะเบียนรอบแรก 10 ล้านคน อีก 500 บาทต่อราย ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอีก 25,000 ล้านบาท
คาดว่าจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/2564 ให้กลับมาเป็นบวกได้ที่ 2-3%
ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการอนุมัติเติมเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมอีก 500 บาทต่อราย รวมถึงมีการปรับเงื่อนไขในโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปีแรกกลับมามีสัญญาณบวกที่ดีขึ้น ดังนั้นจะเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยังมีความท้าท้ายทั้งในส่วนของการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับการส่งออกที่มีต้นทุนสูงขึ้นจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งไม่มีบทบาทมากพอในการฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ยังยืดเยื้อ และปัญหาภัยแล้ง ดังนั้นในช่วงนี้เครื่องยนต์สำคัญเดียวอยู่ที่นโยบายของรัฐบาล เป็นช่วงที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปอุดหนุนอย่างเต็มที่ ทิ้งไม่ได้
นอกจากนี้ ธนวรรธน์ แนะนำว่าจะต้องเตรียมความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวหากเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ในช่วงกลางปีหน้าด้วย โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 3.5-4.5%