ไม่พบผลการค้นหา
"พิชัย" ชี้ "พล.อ.ประยุทธ์" ย้ายอธิบดี เท่ากับ ตบหน้าประชาธิปัตย์ทั้งพรรค ติง ต้องลากให้ถึง "นักการเมือง" เบื้องหลังที่ได้ประโยชน์ แนะ เปิดเผย ข้อมูลส่งออกทั้งหมด พร้อมเจรจาโรงงานให้เพิ่มการผลิตปริมาณหน้ากากอนามัยให้เพียงพอ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ตนได้เปิดเผยเอกสารใบอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัย เพื่อต้องการให้รัฐบาลได้เปิดเผยเอกสารใบอนุญาตส่งออกและเอกสารการส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมด เพื่อให้สังคมได้ตรวจสอบความโปร่งใส หลังจากมีข้อพิพาทระหว่างโฆษกกรมศุลกากรที่ออกมาเผยว่ามีการส่งออกหน้ากากอนามัยถึง 330 ตัน จนถูกอธิบดีกรมการค้าภายในฟ้องร้อง ซึ่งแสดงถึงความขัดแย้งของหน่วยงานรัฐจนดูเหมือนรัฐบาลหมดสภาพแล้ว

ทั้งนี้ เพราะประชาชนจำนวนมากเชื่อว่ามีการหาประโยชน์จากการที่หน้ากากอนามัยขาดแคลน และก่อนหน้ากระทรวงพาณิชย์ประกาศว่ามีสต็อกถึง 200 ล้านชิ้น และ มีการผลิตเดือนละกว่าร้อยล้านชิ้น จึงไม่น่าจะขาดแคลนได้ นอกจากจะมีผู้หาประโยชน์จากความทุกข์ยากของประชาชน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับการขาดแคลนน้ำมันปาล์มในอดีต และหลังจากที่ตนเปิดเผยใบอนุญาตส่งออกหน้ากากก็ปรากฏว่ามีผู้นำข้อมูลกรณีปัญหาการส่งออกหน้ากากอนามัยมานำเสนอเพิ่มเติมอีกจึงอยากให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด 

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ายอธิบดีกรมการค้าภายใน โดยไม่ทันรู้ตัว หลังจากร่วมแถลงข่าว กับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เท่ากับเป็นการตบหน้าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรค เพราะนายจุรินทร์เองก็คงไม่ทราบว่าอธิบดีกรมการค้าภายในในสังกัดของตน จะโดนย้ายแบบฟ้าผ่าและย้ายแบบข้ามหัว มิเช่นนั้นคงไม่นำออกมาแถลงข่าวด้วยแน่ ซึ่งเท่ากับอาจจะทำให้เชื่อได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนนี้ใช่หรือไม่

อย่างไรก็ดี การย้ายอธิบดีเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่าต้องมีปัญหาการหาประโยชน์จากการขาดแคลนหน้ากากอนามัยนี้จริง ดังนั้นจึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ได้สืบสวนเรื่องนี้ให้ไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนายหน้า พ่อค้า หรือ นักการเมือง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวในเชิงลบที่ผู้ติดตามรัฐมนตรีไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนและขายหน้ากากอนามัย แต่ตำรวจกลับหาหลักฐานไม่ได้ ทั้งที่สื่อตามไปเจอกล่องหน้ากากอนามัยจำนวนมากพร้อมหน้ากากอนามัยที่ตกค้างอยู่จำนวนหนึ่งในบริเวณโกดังที่ถ่ายคลิป และ สื่อยังพบการเข้าออกของเงินอย่างผิดปกติกว่า 200-300 ล้านบาท แต่ตำรวจกลับหาไม่เจอและเชื่อคำพูดของผู้ต้องสงสัยที่ให้การแบบทำหน้าซื่อๆ ในขณะที่คดีทฤษฎีกบต้มของตนกับที่ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วแล้ว ตำรวจคนเดียวกันกลับเรียกให้ตนต้องนำพยานมาสืบ

นอกจากนี้ สื่อยังได้นำเสนอว่ามีนักการเมืองเกี่ยวข้องกับการหาประโยชน์กับหน้ากากอนามัยนี้ และ บางคนเป็นถึง ที่ปรึกษารัฐมนตรี จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ตรวจสอบและหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี อย่านำอธิบดีมาเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น เพราะข้าราชการประจำคงไม่สามารถทำอะไรเองได้ ถ้าไม่มีคำสั่งจากนักการเมือง ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ตนได้เรียกร้อง และมีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เกิดความโปร่งใสชัดเจนและหาคนกระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งอาจจะทำให้พลเอกประยุทธ์สามารถฟื้นความนิยมที่ตกต่ำสุดขีดขึ้นมาได้บ้าง ถ้าสาวถึงและกล้าจับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องมาลงโทษได้

อย่างไรก็ดี ในภาวะที่หน้ากากขาดแคลนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ควรต้องเร่งเจรจาขอความร่วมมือแกมบังคับกับโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทุกแห่ง แม้จะเป็นโรงงานที่ได้ BOI และทำเพื่อส่งออกเท่านั้น โดยในภาวะวิกฤตนี้โรงงานเองก็ต้องเข้าใจ จึงอยากขอให้ช่วยผลิตหน้ากากอนามัยที่ประเทศไทยขาดแคลน หรือ ใช้ทดแทนกันได้ เพื่อให้ประชาชนใช้ก่อน ซึ่งอาจจะแบ่งปันบางส่วน หรือ ให้เพิ่มปริมาณการผลิต จะมาอ้างว่าทำเพื่อส่งออกอย่างเดียวไม่ได้

ยกตัวอย่าง เหมือนถ้าอาหารขาดแคลน ข้าวขาดแคลน คนจะอดตายกัน แต่โรงงานผลิตขนมปังจะบอกว่าผลิตขนมปังเพื่อการส่งออกอย่างเดียว เพราะคนไทยไม่ทานขนมปัง คงเป็นไปไม่ได้ และความร้ายแรงของเรื่องนี้ก็เป็นความเป็นความตายของประชาชนเช่นกัน นอกจากนี้รัฐบาลควรเร่งสร้างโรงงานหน้ากากอนามัยตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศ หรือ จะปรับโรงงานอื่นที่มีอยู่แล้วให้ผลิตหน้ากากอนามัยแทน เหมือนที่หลายประเทศทำกันก็ได้ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จและดำเนินการผลิตได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปรบกวนโรงงานผลิตเพื่อการส่งออกเหล่านั้น โดยเป็นการขอความร่วมมือในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งโรงงานควรต้องปฏิบัติตามในช่วงภาวะวิกฤตนี้ ซึ่งเชื่อว่าเขาคงเห็นใจและอยากร่วมมือ เพียงแต่ผู้นำเราไม่ได้คิด หรือ คิดไม่ออก ที่จะไปเจรจากับเขาเท่านั้น

และเมื่อพูดถึงอาหารขาดแคลน ก็น่าเป็นห่วงถึงความตื่นตระหนกของประชาชนที่ไม่เชื่อมั่นการบริหารจัดการของรัฐบาล ทำให้มีเกิดการซื้อกักตุนอาหารและของใช้จำเป็นกันอย่างมากจนของขาดแคลน ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์พึ่งให้ความมั่นใจกับประชาชน จึงอยากให้รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วย

ในภาวะวิกฤตจะเป็นบททดสอบทักษะ ความรู้ความสามารถของผู้บริหารประเทศ อย่าทำให้ประชาชนพากันคิดกันหมดว่า มีผู้นำโง่แล้วจะทำให้เราจะตายกันหมดเด็ดขาด เพราะประชาชนจะหมดความหวังและไม่เหลือความอดทนกันอีกต่อไป และอยากขอเตือนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่วิกฤตไวรัสโควิด-19 จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ในเร็วๆนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายอย่างมาก และรัฐบาลอาจจะรับมือไม่ไหว จะยิ่งเพิ่มความไม่พอใจของประชาชนมากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง