“ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปกติ ส.ว.มันไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่ ไม่มีสิทธิไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ... ผมเป็นเด็กวัดไตรมิตรฯ เป็นคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเริ่มต้นคำถามพ่วง และมีผู้โหวตเห็นด้วย 15 ล้านเสียง ปรบมือให้ผมหน่อยครับ”
หลายคนยังจดจำถ้อยคำน้ำเสียงฮึกเหิม ตามด้วยเสียงปรบมือกึกก้องได้ดี นั่นกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของ ‘วันชัย สอนศิริ’ ส.ว. หนึ่งในผู้ริเริ่มเปิดสวิตช์ ส.ว.โหวตนายกฯ ที่พลิกโฉมการเมืองไทย และมีส่วนให้ประเทศนี้มีผู้นำชื่อ 'พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา' มาเกือบทศวรรษ
‘วอยซ์’ สนทนากับ ส.ว.คนดัง ผ่าน #VoicePolitics ด้วยความสงสัยว่า ความรู้สึกที่เคยภาคภูมิกับผลงานของตนในวันนั้น ยังคงเดิมอยู่หรือไม่
"ผมโคตรเสียดายเลย มาตรา 272 ซึ่งทำให้มีอำนาจเหนือกว่าพรรคการเมือง น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ... ปฏิวัติมาจนกระทั่งเป็นรัฐบาลแบบกึ่งๆ ประชาธิปไตย ยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศเท่าที่ควร"
โดยไม่คาดคิด วันชัย เปิดใจผ่าน #VoicePolitics ว่า "ผมผิดหวัง เสียดาย และอับอายที่เคยมีส่วนในการทำเรื่องนี้ แล้วทำไม่ได้"
จากทนายความที่โด่งดังจากรายการโทรทัศน์ เข้ามาโลดแล่นในฐานะสมาชิกสภาสูง ก่อน "ตกกระไดพลอยโจน" จนได้ร่วมหัวจมท้ายกับคณะรัฐประหารมาเนิ่นนาน แม้เขาจะย้ำว่า ไม่ได้เห็นด้วยทุกเรื่อง
แต่ วันชัย ยังสารภาพว่า ถึงเวลาที่ ส.ว. จะทบทวนบทบาท เพื่อเตรียมใช้สิทธิร่วมโหวตนายกฯ ครั้งสุดท้าย ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้
เขายังบอก ‘วอยซ์’ ด้วยว่า นอกจากเขาแล้ว ยังมี ส.ว.จำนวนไม่น้อยทีเดียว พร้อมจะโหวตเลือกนายกฯ "เพื่อประโยชน์ของชาติ" เพราะ "การทดแทนบุญคุณ" ได้จบลงไปแล้ว
อาจารย์เกิดมาในท้องไร่ท้องนาเลย เกิดมาบนความยากจน ที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี พ่อแม่ก็ทำไร่ทำนา เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู ควาย มาตั้งแต่เด็ก เดิบโตมากับกลิ่นโคลนสาปควาย ยากจน ตอนนั้นอายุ 11 ขวบ จะส่งเรียนต่อก็คงไม่มีเงินเรียน ในที่สุดก็บวชเณร บวชหน้าไฟเสร็จแล้วก็ไม่ได้สึก เรียนหนังสือใช้ได้ อายุน้อย ก็สอบนักธรรมชั้นตรีของพระได้ หลวงอาที่เป็นเจ้าอาวาสก็ส่งมาเรียนที่วัดไตรมิตรวิทยาราม ที่มีหลวงพ่อทองคำใหญ่ที่สุดในโลก
ในที่สุดก็ตัดสินใจสึกดีกว่า จะได้ไปเรียนต่อทางโลก ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครส่งเสียเล่าเรียน พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว พ่อแม่ผมตายตั้งแต่ยังเล็กๆ ด้วย ถึงแม้พ่อแม่มีชีวิตอยู่ก็คงไม่ได้ส่งนั่นแหละ เอาล่ะ ตัดสินใจสึก เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง เรียนไปทำงานไป ใช้เวลาเรียนประมาณ 5 ปี ก็จบ ปริญญาตรี นิติศาสตร์
พอเรียนจบ ก็ฝันไว้เลยว่าชีวิตอยากจะเป็นทนาย เพราะตอนเด็กๆ โตแล้ว พ่อแม่ถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องที่ดินไร่นา ก็ลำบาก ไม่รู้ว่าจะสู้เขายังไง นายทุนบางทีก็ยึดที่ไร่นาไป เป็นภาพที่เราจำอยู่ว่า ถ้าเราโตขึ้นมีโอกาสจะเป็นทนาย จะได้มีโอกาสช่วยตัวเอง ช่วยครอบครัว และช่วยสังคมได้
พอจบมาก็เป็นทนายความ ด้วยความที่เป็นคนมีความเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัย เขาก็ไปดึงผมมาลง ก็มาเป็นรองเลขาธิการสภาทนายความ
พรรคการเมืองบางพรรคก็เคยชวนลงผมลงสมัคร เคยลงสมัครใน กทม. ปี 2544 มีโอกาสเป็นผู้สมัคร ส.ส. แต่สอบไม่ได้นะ แต่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) เมื่อปี 2529 ก็เป็นอยู่ประมาณ 4 ปี 1 สมัย ได้มีโอกาสสัมผัสการเมืองระดับท้องถิ่น และในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกับการเมืองระดับชาติของพรรคประชาธิปัตย์ ผมอยู่ในทีมงานของ อ.มารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร
จนกระทั่งมีรายการทีวี เขาต้องการทำรายการที่ให้ความรู้ทางกฎหมาย ให้เข้าใจแบบง่ายๆ สนุกๆ ไม่เครียด เพราะกฎหมายมันเครียด ยุคนั้นก็เป็นยุคผม สองทนาย หลังจากนั้นก็มีรายการอื่นๆ อีกเยอะ ที่ทำในลักษณะช่วยเหลือประชาชน ถึงลูกถึงคน ทันทีทันใด ใครเดือดร้อน ออกหน้าจอ สอบถาม ทั้งผู้เสียหาย ทั้งคนแก้ไข เป็นรายการที่ฮือฮาในยุคกระนั้น สามารถแก้ปัญหาหน้าจอในแบบทันทีทันใด นี่ก็สร้างชื่อเสียงให้ในระดับหนึ่ง
ชีวิตก็เปลี่ยน จากทนายธรรมดาๆ ทำให้ประชาชนทั้งประเทศรู้จัก ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี มีงานทุกวัน วันหนึ่ง 3 รายการ แล้วก็รายการทีวีต่างๆ สารพัด ชื่อเสียงก็เริ่มมีมาตามลำดับ
ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการรัฐประหาร มีการสู้กันระหว่างกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง อะไรต่อมิอะไร ต่างๆ
อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ท่านทำรายการแบบ Hard Talk การเมือง ท่านชวนผมมาทำที่ช่อง 11 และที่ ASTV รายการ คลายปม และรายการแบบพูดการเมืองหนักๆ
ชีวิตเปลี่ยน จากที่คนเคยเห็นเป็นทนายสนุกสนานเฮฮา มาพูดการเมืองแบบหนักๆ แรงๆ ตรงๆ ชีวิตพลิกเลย คนเห็นแล้ว จากภาพที่เห็นแล้วขำๆ สนุกๆ โอ้โห ใช่ ถึง ได้ แล้ว อ.เจิมศักดิ์ โยนลูกเข้ามา ผมก็ เปรี้ยงๆ เป็นทั้งทนาย เป็นทั้งนักกฎหมาย เป็นทั้งคนที่กล้าพูดทางการเมือง ก็เหมือนเป็นของใหม่
จากนั้นเมื่อมีการสรรหา ส.ว. ในปี 2551 ความจริงช่วงนั้นก็มีพรรคการเมืองหลายพรรคมาติดต่อให้ลง ก็เรียกได้ว่า เนื้อหอมพอสมควร แต่เผอิญผมเห็นว่าช่วงนั้นเขาเปิดรับสมัคร ส.ว. เราไปสมัครดีกว่า
เพราะว่าชีวิตตั้งแต่เด็กๆ ชอบติดตามทีวี การอภิปรายในสภา เห็นการพูดของคนนั้นคนนี้ ชอบ ตั้งแต่หนุ่มๆ ต้องเงี่ยหูฟังวิทยุ ถ้ามีโอกาสจะไปสู่สภาหินอ่อนให้ได้
ความที่ผมเคยเป็น ส.ข. 4 ปี โอ้โห ต้องใช้เวลาพบกับชาวบ้านเกือบทุกวัน ยิ่งเสาร์-อาทิตย์ นี่งานตลอดเลย เป็น ส.ข.ปทุมวัน แค่อำเภอเดียวนะ งานเยอะเหลือเกิน ทั้งเดิน ทั้งงาน สารพัดชาวบ้าน อาจจะไม่ใช่ตัวเรา 100%
อาชีพที่เราช่วยเหลือชาวบ้าน ช่วยเหลือสังคม มากกว่าที่จะไปงานชาวบ้าน ใจเราคิดไปอีกมุมหนึ่ง พอเขาเปิดรับสมัคร ส.ว.สรรหา ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางหนึ่งที่เราจะสามารถเดินเข้าสู่สภาหินอ่อนได้ โดยไม่ต้องไปออกงานกับชาวบ้านอะไรมากมายในทำนองนั้น และมีโอกาสแสดงความรู้ความสามารถของเรา มาช่วยเหลือสังคมประเทศชาติได้
เลยตัดสินใจสมัครสรรหา และผมก็ได้รับการสรรหา เขาเอาประมาณ 74-75 คน เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง สรรหาครึ่งหนึ่ง ผมก็ได้เป็นคนหนึ่ง
ตลอดระยะเวลาที่ผมเป็น ส.ว. ความที่เราเป็นนักกฎหมาย นักพูด นักกิจกรรม เราก็เอาความรู้ความสามารถที่เรามีอยู่ในตัว เต็มพลัง จึงเป็นคนที่กล้าพูด กล้าชี้แจง กล้าอภิปราย กล้าปะทะ พูดง่ายๆ ได้ว่าเป็นหัวหอกคนหนึ่งในระดับ ส.ว. ในยุคกระนั้น ไม่ว่าจะอภิปรายเรื่องอะไร ผมก็ถือว่าผมอยู่ในระดับ คนหนึ่งเหมือนกัน ที่สามารถกล้าพูดกล้าอภิปราย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2557
ถามว่า ผมรู้จักใครในคณะปฏิวัติหรือเปล่า รู้จักกับทหารคนไหนไหม ไม่ได้รู้จักแม้แต่คนเดียว แต่ผมเข้าใจว่าเขาคงเลือก เพราะเห็นว่า เวลาเป็นอะไรแล้ว ผมเป็นคนทำจริง เป็นจริง
ผมได้มีโอกาสเจอผู้ใหญ่ในงานแห่งหนึ่ง คนที่มีสิทธิในการสรรหาและเลือก เพราะผมต้องไปพูดทางกฎหมายให้ประชาชนในงาน และท่านมาเป็นประธานฯ
ท่านเจอหน้าผม ท่านบอก "คุณวันชัย เดี๋ยวมาเป็น ส.ว. นะ มาทำงานด้วยกัน ทำงานให้ประเทศมาแล้ว คราวหน้ามาเป็นนะ"
ผมก็ได้รับการสรรหาให้มาเป็น ส.ว. อีก ก็เป็นมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้
ให้ผมฟันธงตรงไปตรงมาเลย ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ดีที่สุด มีอิสระที่สุด มีความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด แล้วก็มีภาพพจน์ที่ดีในสายตาของประชาชนมากที่สุด และทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าการแต่งตั้ง
ถามว่าผมมาอยู่ในระบบนี้ ถามว่ารู้สึกหวั่นไหวอะไรหรือไม่ ผมว่าแน่นอน คนแต่ละคน อาจจะมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุด เราเป็นแล้ว เราทำอะไรให้กับส่วนรวม เราทำอะไรให้กับประเทศชาติ แน่นอนบางครั้ง ที่มาที่ไป เราอาจไม่มีโอกาสในการกำหนดมันมากนัก แต่ถ้าเป็นแล้ว ทำอะไรให้กับประเทศ ให้กับประชาชน ผมว่าสำคัญกว่า
ดังนั้น เราต้องยอมรับตรงนี้ได้ ว่าใครจะด่าก็เป็นสิทธิของเขา เพราะเราเองบางทีก็ยังวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ตำหนิคนอื่น กล่าวหาคนอื่น
ผมเฉยๆ นะ คนด่า ผมได้ดูนะ มากมายมหาศาล เป็นพันเป็นหมื่น ด่าหยาบๆ คายๆ ชั่วช้าสารเลว ผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ผมว่าในทางการเมือง มีความชอบ ความเกลียด ได้ทั้งสิ้น ส.ว. ถามว่าฐานมาจากไหน มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ มาจาก คสช. อะไรที่เป็นเรื่องของ คสช. เป็นบริวารว่านเครือของ คสช. อยู่ในฐานะที่ คนเกลียดคือเกลียด คนชอบก็ชอบ เมื่อผมยืนอยู่ในส่วนที่เขาตั้งมา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจะต้องเกลียด ก็ต้องยอมรับ
ต้องยอมรับว่าผมเป็นแกนนำคนหนึ่ง (เรื่องการตั้งคำถามพ่วง) แต่ในขณะเดียวกันก็ร่วมกันคิดหลายคนหลายฝ่าย
เราต้องยอมรับนะ บอกจากใจจริงๆ ผมไม่ชอบการปฏิวัติรัฐประหารเลย และผมถือว่าการปฏิวัติรัฐประหารเนี่ย ถอยหลังเข้าคลอง ไม่ชอบ
แต่ในขณะเดียวกัน นี่บอกกันตรงๆ เลย ไม่ชอบนักการเมืองที่โกงกินทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ชอบอย่างมากๆ และรู้สึกว่าบ้านเมืองเรามันไม่เดินไปไหน
เพราะไอ้เนี่ย เป็นนักการเมืองแล้ว มันน่าจะต้องนำอะไรไปให้ได้ นำประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ แต่ทำไมวะ มันมาแย่งกันไป แย่งกันมา โกงกินทุจริตคอร์รัปชัน
และผมนั่งเป็น ส.ว. มาโดยตลอด ตอนนั้น ผมว่าไม่มีทางหรอกที่ใครจะกล้าปฏิวัติ ตอนคุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใครต่อใคร ผมมองว่าการเมืองมันเริ่มเดินมาดี แต่พอการเมืองมาถึงจุดหนึ่ง ก็อดไม่ได้ ที่จะโกงกินทุจริตคอร์รัปชัน
แปลว่าสนิมมันเกิดจากเนื้อในของการเมืองเอง ถ้าการเมืองมันเข้มแข็ง ไม่โกงไม่กิน ไม่ทุจริต ใครวะจะกล้าเอาปืนมาจี้กบาลได้ ถ้าผีบ้านผีเรือนมันดี ผีป่าซาตานที่ไหนวะมันจะเข้ามาได้
แต่เพราะการเมืองเรา โกงกินทุจริตคอร์รัปชัน ยึดประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง มันเลยทำให้เกิดการชุมนุมประท้วง แล้วก็นำมาสู่การรัฐประหาร เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุ
ในสถานการณ์อย่างนั้น บ้านแตกสาแหรกขาด คนทะเลาะกัน แม้กระทั่งในบ้านตัวเอง ผัวเมียแตกกันหมด แตกสามัคคี แตกสีแตกฝ่าย แม้แต่เราเองก็ไม่สบายใจ เราอยากให้เรื่องแบบนี้มันจบ
เหมือนเราป่วยหนัก ตัดขาออกไปซะดีกว่าอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้มีใครมาตัดขาเลย แต่เหมือนกับเป็นฝีที่ฝังอยู่ จี๊ดๆ อยู่อย่างนั้น
ก็จึงเหมือน ตกกระไดพลอยโจน เลยเกิดการรัฐประหารขึ้น แม้ไม่ชอบ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่คิดว่ามาทำอะไรให้มันสงบ ก็ต้องตกกระไดพลอยโจน
ถ้าไม่มี ส.ว. 250 พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นนายกฯ แน่นอน เพราะว่าเสียงก็ปริ่มๆ กัน มี ส.ว.อยู่ 250 ก็เลยทะลุไปถึง 400-500 เลย ทำให้คลื่นพรรคอื่นๆ ไหลเข้ามา
แต่ถ้าไม่มีคำถามพ่วง 250 ส.ว. อยู่ ผมยืนยันว่า พรรคการเมืองจะรวมกัน แล้วพรรคการเมืองนั้นที่ได้เสียงเกินกว่า 251 ซึ่งอาจไม่ใช่ซีกของพรรคพลังประชารัฐ คงเป็นรัฐบาลแน่
ผมตอบตรงไปตรงมานะ ไม่ต้องเกรงใจกัน นักการเมือง พรรคการเมือง ไม่ได้รักประชาชนจริง คุณตำหนิ ส.ว. ผมว่ายังไม่ค่อยถูกเป้านัก คนที่น่าถูกตำหนิมากกว่า ส.ว. คือ ส.ส.ที่ประชาชนเลือกมา ถ้าคุณรวมกันเองให้แข็งปึ้ก ส.ส.มีตั้ง 500 เสียง คุณรวมกัน 376 เสียง คุณว่ารวมได้ไหม ตัดพลังประชารัฐออกไป
คุณรวมกันแค่ 251 เสียงเท่านั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไปไหนไม่รอด ตั้งรัฐบาลก็ล้ม เห็นไหม เพราะฉะนั้น คนที่ยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจของอำนาจ เกาะอยู่กับอำนาจ เกาะอยู่กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คือ ส.ส.
ส.ว.อย่างเก่ง เลือกแล้วก็จบ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ได้กี่ปีกี่เดือน อยู่ที่ ส.ส. ทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่เพราะ ส.ว. เลย
ถ้า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล พรรคเดียวนะ ถอนตัวตูม รัฐบาลล้มทันที ก็เสียงมันปริ่มๆ เท่านั้นเอง แต่ที่อยู่ได้เพราะ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง หักหลัง ทรยศ กับพี่น้องประชาชน ทั้งที่บอกว่า ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่บอกว่าไม่เอา ส.ว. ที่จะโหวตเลือกนายกฯ ไม่เอาด้วย พรรคภูมิใจไทยก็มา
พวกนี้ทั้งตระบัตสัตย์ ทั้งอยากได้อำนาจ ทั้งทรยศประชาชน แล้วก็เกาะอยู่กับอำนาจตลอด เป็นการเล่นเกมการเมือง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
ผมว่า ส.ส.ต้องเปลี่ยนนะ เพราะมองดูแล้ว ระบบที่ใช้วาทกรรม พูดจาปราศรัย กระแทกแดกดัน ใช้ลีลาท่าทีท่วงทำนองแบบแก่ๆ เก่าๆ แล้วก็ข้อมูลแบบโบราณๆ ไม่ได้ทำการบ้านอะไรเลย หรือจะพูดก็พูดเรื่องบ้านของตัวเอง ถนน ศาลา หรือเรื่องในหมู่บ้านตำบลของตัวเอง ผมมองว่าวิธีการแบบนี้เก่า ตกยุคตกสมัย หากินต่อไปไม่ได้
แต่ผมสังเกต ส.ส.รุ่นใหม่ โอ้โห ของจริงเว้ย อภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื้อๆ เต็มๆ เชือดเฉือนด้วยเนื้อหาข้อมูลแน่น ไม่ต้องมีลีลา ไม่ต้องอาศัยความเก๋า คุณดูอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ เรื่องหุ้นเรื่องอะไรเนี่ย ผมฟังด้วยใจระทึก และไม่ว่าจะเรื่องการเคหะ เรื่องอะไรต่ออะไร
ผมยืนยันว่า ส.ส.ต้องเปลี่ยน รุ่นเก่าอาจจะมีบ้าง แต่ต้องเปลี่ยนวิธีการ ยังจะมากระโชกโฮกฮาก โป้งป้างตูมตาม หมดยุค และผมเชื่อว่า ต่อไปทุกพรรคการเมือง คนแก่ก็คงต้องมีบ้าง แต่วิธีการนำเสนอ ลีลาท่าทีท่วงทำนอง อย่าเก่า อย่าแก่
ถามว่าเอาความคิดเรื่องคำถามพ่วง มาตรา 272 มาจากไหน เพราะเวลารัฐประหารเสร็จเรียบร้อย เราก็หวังอยากให้เขามาปฏิรูป ถ้าเกิดพรวดพราด ปล่อยให้มีการเลือกตั้งอีก บ้านเมืองอาจจะกลับไปเหมือนเดิม
เราก็คิดว่า น่าจะเป็นการประนอมอำนาจกัน ระหว่างฝ่ายที่มาจากรัฐประหาร กับอีกฝ่ายหนึ่งที่มาจากการเลือกตั้ง น่าจะช่วยๆ กัน จับไม้จับมือ
ถ้าปล่อยให้เลือกตั้ง ก็แปลว่าบ้านเมืองอาจจะมีปัญหา ขัดแย้ง แตกแยก วุ่นวายอีกก็ได้ ในขณะเดียวกันถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด บ้านเมืองก็จะอึดอัด แล้วก็กลายเป็นระเบิดอีกเหมือนกัน ไหนๆ จะไปแล้ว ค่อยๆ ประคับประคอง ในช่วงรอยต่อ 5 ปีแรก
จึงมีลักษณะคำถามพ่วง ให้ ส.ว. มีส่วนในการเลือกนายกฯ เหตุผลเพื่อไม่ให้ฝ่ายรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะมีฝ่ายเลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ให้ฝ่ายเลือกตั้งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นประชาธิปไตยจ๋า เราหวังว่า พอเข้าที่เข้าทาง แล้ว ส.ว.ก็สลัดออกไป
แต่ เรียนตรงๆ ผมผิดหวัง ไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการเลย
ผมผิดหวัง ปฏิรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ ปฏิรูปแบบงานประจำ แบบระบบราชการนิดๆ หน่อยๆ แต่ประเภทพลิกฝ่ามือ แบบเห็นหน้าเห็นหลังจริงจัง เป็นที่กระแทกความต้องการของประชาชน ผมยังไม่เห็นเลย
ปฏิรูปการเมืองซึ่งเป็นงานใหญ่ ปฏิวัติรัฐประหารแล้ว ต้องแก้ไขการเลือกตั้งให้มีความสุจริตเที่ยงธรรม ไม่มีทุจริตซื้อสิทธิขายเสียง และคนที่จะมาเป็นนักการเมืองต้องไม่โกงกินทุจริต
สักแต่ว่าพูด สักแต่ว่าเขียน แต่ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
ผมผิดหวัง ผมอายตัวเองที่มีส่วนร่วมในการทำเรื่องนี้ แล้วทำไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นนายกฯ เราไม่ได้เป็นรัฐมนตรี เรามีแต่หน้าที่ติดตามเร่งรัดเสนอแนะเท่านั้น ยอมรับเลยว่า ปฏิวัติมาจนกระทั่งถึงเป็นรัฐบาลกึ่งๆ ประชาธิปไตย ยังไม่ได้มีอะไรเห็นหน้าเห็นหลังเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศเท่าที่ควร
ผมเสียดายอำนาจเต็มโดยการรัฐประหาร 4-5 ปีนี่ ผมโคตรเสียดายเลย และอำนาจแบบกึ่งๆ ที่มีมาตรา 272 ซึ่งทำให้มีอำนาจเหนือกว่าพรรคการเมือง มันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ น่าจะขอความร่วมมือกับพรรคการเมืองได้มากกว่านี้
เป็นเรื่องเสียของ เสียเวลา ที่มีเขียนไว้ก็ดูเป็นเพียงเศษกระดาษ ที่เป็นตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง
คุณทักษิณยังเป็นรัฐบาลไม่เท่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาเลย ทำแล้วยังอยู่ในใจของประชาชนได้มา 10-20 ปี
คุณทักษิณพอเลือกตั้งมามีอำนาจเต็มอยู่ จริงๆ ผมว่าไม่เกิน 5 ปี แล้วก็ไม่ใช่อำนาจเบ็ดเสร็จแบบมาตรา 44 นะ อยู่ในใจคนได้จนกระทั่งทุกวันนี้ แปลว่าเขากล้าเปลี่ยนแปลง กล้าปฏิรูป จนฝังอยู่ในความรู้สึกของประชาชน
นี่เรามีอำนาจเต็ม อำนาจเบ็ดเสร็จ ยิ่งกว่าใครอีก แต่ทำไมฝังความรู้สึกที่ประชาชนจะรักเหมือนคุณทักษิณไม่ได้
ผมไม่เคยคิดว่าเพื่อไทยเก่งเลยนะ เพียงแต่คิดว่าคนเป็นรัฐบาลที่ผ่านมา ทำไมไม่สร้างความรักความผูกพันเหมือนเขาทำได้บ้าง พอเขาไม่รัก ก็เลยต้องไปรักอีกซีกหนึ่ง
ส่วนตัวผมตัดสินใจมานานแล้ว ผมเป็นคนเสนอให้มีมาตรา 272 และผมเป็นคนแรกๆ ที่ประกาศปิดสวิตช์ ไม่ควรจะมีอีกต่อไปแล้ว
เพราะมีแล้วก็ยังไม่เห็นว่าทำอะไรได้ ขืนมีต่อไป ก็รังแต่จะให้เขากระแทกแดกดัน ด่าว่า เสียผู้เสียคนไปเปล่า ไร้สาระ ควรเลิกไป มองดูแล้วก็เอาเปรียบเขา เอาเปรียบแล้วมาทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน เรายังพอได้ แต่นี่ดูแล้วรัฐธรรมนูญมันเอาเปรียบ แต่เราก็ทำแล้วก็งั้นๆ แหละ แล้วจะเอาไว้ทำอะไร
ผมจึงเป็นคนชูธงแรกๆ ทุกครั้งที่มีการเสนอเรื่องนี้ ผมเป็นคนโหวต ให้ยกเลิกมาตรานี้ และผมก็ประกาศว่าถ้าต่อไปมีการยกเลิกมาตรานี้อีก ผมก็จะปิดสวิตช์ตัวเอง คือจะไม่โหวต
แต่ไปๆ มาๆ ผมมานั่งคิด ตอนนี้กลับมานั่งทบทวนว่า การที่เราไม่โหวต แปลว่าเรากำลังยืนอยู่อีกฝ่าย สมมติว่าเขาต้องการเสียง 376 เสียง แต่ปรากฏว่าเราอยู่เฉยๆ ก็แปลว่าเรากำลังยืนอยู่อีกซีกหนึ่งที่ไม่เอาฝ่ายนี้
เพราะฉะนั้นผมก็เลยมาตัดสินใจว่า การไม่โหวต คือการโหวตเพื่อไปสนับสนุนอีกซีกหนึ่ง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ผมก็เลยตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เป็นคนหนึ่งที่พรรคการเมืองพรรคไหน รวมเสียง ส.ส.ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง วันชัย สอนศิริ จะโหวตให้กับคนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นใคร พรรคไหน ที่ทุกคนทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ว่าเป็น นางสาว ก. นาย ข. นาย ค. พล.อ.นั่น นี่ ถ้าเสียงส่วนใหญ่เขาเอาคนนั้น ผมเป็นคนหนึ่ง โหวตแน่นอน
และไม่ใช่ผมคนเดียว กระแสอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนในกลุ่ม หลายครั้ง หลายโอกาส และผมยืนยันว่า คนที่มีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่ผมคนเดียว
คนพวกนี้เขามองดูว่า ครั้งนี้เป็นการโหวตครั้งสุดท้าย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบุญคุณที่จะต้องทดแทนอะไรกับใครแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศ ของส่วนรวม และเป็นเรื่องของตัวเขาเองที่จะต้องเดินถนนต่อไป ดังนั้น ไม่ควรจะมีตราบาปหลังจากหมดวาระต่อไป ควรทำอะไรเพื่อประชาชน เพื่อความถูกต้อง เรื่องตอบแทนบุญคุณก็ตอบแทนกันมาแล้ว ตอนนี้ความคิดแบบนี้ ผมยืนยัน มีไม่ใช่น้อยทีเดียว แล้วก็เริ่มก่อตัวกันมาก
ผมเชื่อต่อไปนี้ว่า ไม่น่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหาร ผมยืนยัน เท่าที่ดูทั้งวงภายในและภายนอก ถ้าไม่วิกฤตเหนือบ่ากว่าแรงแบบฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย ผมว่าแค่ 7-8 ปี ก็สาหัสสากรรจ์แล้ว ถ้าใครยังขืนปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมาอีก ผมว่าเรื่องนั้นน่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ผ่านมานะ
เพราะฉะนั้นมองดูแล้วไม่เห็นจะมีเรื่องใหญ่อะไร ผมกล้าพูด ทั้งที่เห็น มอง และพิจารณาสถานการณ์ต่อไป ใครขืนทำการปฏิวัติ คนนั้นก็อยู่ยาก
คนที่ทำการปฏิวัติมาหลายครั้งหลายหน คสช. เขาก็เอามาดูเป็นตัวอย่าง แก้ในจุดที่บกพร่อง เขาก็อยู่ได้มานาน
พูดง่ายๆ ว่า พวกปฏิวัติรัฐประหาร ก็รู้ทันพวกปฏิวัติรัฐประหาร พวกเลือกตั้ง ก็รู้ทันคณะรัฐประหาร แล้วก็รู้จุดอ่อนจุดแข็งของพวกประชาธิปไตยด้วยกัน มวยรู้ทางกัน ไม่ง่ายเหมือนเก่า
ส่วนเรื่องของคุณ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร และเรื่องของคนอื่นๆ ในครอบครัว ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมไม่ได้ติดใจอะไร
โดยส่วนตัวผมลึกๆ ผมอยากให้บ้านเมืองมันจบๆ คนเราเนี่ย มันก็ผิดพลาดกันได้ บกพร่องกันได้ คุณจะเจ้าคิดเจ้าแค้น ฆ่ากันเอาเป็นเอาตายกันทำไม 20-30 ปี
ผ่านมาประมาณเกือบ 10 ปี ทำให้ผมได้เกิดอนุสติ คุณคิดว่าการปฏิวัติรัฐประหารมันถูกหรือ การปฏิวัติรัฐประหารมันไม่ได้หมายความว่าจะถูก แล้วถามว่าดีไหม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป
อะไรที่ลดราวาศอกกัน ทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ ทำให้การขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งลดน้อยถอยลง ได้บ้างเสียบ้าง หันหน้ามาพูดคุยกัน แกได้บ้าง ฉันได้บ้าง แกเสียบ้าง ฉันเสียบ้าง แล้วบ้านเมืองมันเดินต่อไป ผมคิดว่า ผมมาถึงจุดนี้ แล้วเห็นด้วย
ชมคลิป : ‘วันชัย สอนศิริ’ : "เสียของ-เสียเวลา!" มี 'ส.ว.' ยังแพ้ 'ทักษิณ'