เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 19 ก.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล สุชาติ ชมกลิ่น ได้ชี้แจงหลังการอภิปรายของฝ่ายค้าน โดยยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น หลัง นิคม บุญวิเศษ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย ระบุว่า นำเงินประกันสังคมให้พวกพ้องไปปั่นหุ้น
สุชาติ กล่าวว่า ตนทำอะไรด้วยความโปร่งใสและซื่อสัตย์ ยอมรับว่าตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งได้มีการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จริง ค้าอสังหาริมทรัพย์จริง แต่ไม่ได้ค้าแป้ง ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ทุกอย่างอยู่บนโต๊ะ เสียภาษีอย่างถูกกฎหมาย ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี หุ้นในส่วนนี้ยังอยู่เท่าเดิม ส่วนที่ให้ภรรยาเป็นกรรมการผู้จัดการ ก็อยากถามกลับว่า ถ้าเป็นท่าน ท่านอยากให้ภรรยาตกงานหรือไม่
ส่วนกองทุนประกันสังคมก็มีบอร์ดและทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส ดังนั้น เรื่องของหุ้นนั้น ตนปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญทุกประการ เพราะส่วนตัวต้องการให้คนที่เป็นนักการเมืองนั้นมือสะอาด ดีกว่าคนที่รวยแล้วไม่รู้เสียภาษีหรือไม่
สำหรับข้อกล่าวหาว่าแรงงานต่างชาติไม่มีการกักกันโรคนั้น สุชาติ ยืนยันว่า การกักตัวและตรวจโรค และดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน สำหรับการกล่าวหาเรื่องการเก็บค่าหัวคิวการส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องที่บริษัทเอกชนตกลงกับแรงงานไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ นิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ สุชาติ ที่ขาดความรู้ความสามารถ ในการบริหารจัดการแรงงาน ปล่อยให้แรงงานลักลอบเข้าเมือง ในช่วงโควิด-19 ระบาด เรื่องแรงงาน มีผลประโยชน์ มีขุมทรัพย์มากมาย เป็นการทำนาบนหลังคน นอกจากนี้ยังทราบว่า มีเก็บค่าหัวแรงงานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ 3,000 บาทต่อคน คนที่เก็บ มีการอ้างว่า เก็บให้นาย ตนก็ไม่รู้ว่านายที่ว่าคือใคร มีหลักฐานการพูดคุยทางไลน์ และหลักฐานการโอนเงิน กระทรวงแรงงานแทนที่จะมีนโยบายส่งแรงงานไปต่างประเทศ ไม่ต้องไปเก็บเงิน
นิคมกล่าวอีกว่า สุชาติ ยังอนุมัติเงินประกันสังคมไปให้ บริษัทพวกพ้องของท่านที่ชื่อ ‘สอภอ’ ซึ่งในแวดวงรู้กันดีว่า นายคนนี้ เป็นนักปั่นหุ้นและฟอกเงิน นาย สอภอ มีบริษัทลูกอีก 3-4 บริษัท จากนั้นได้ทำการปั่นหุ้น สร้างความร่ำรวยขึ้นมา ต่อมานายสอภอ นำเงินมาซื้อหุ้น บริษัทอรินสิริแลนด์ (ARIN) ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อไปดูผลประกอบการบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 2562 2563 2564 จนถึงไตรมาส1ของปี 2565 ผลประกอบการติดลบมาโดยตลอด
แต่ที่น่าประหลาดใจ กระทั่ง ธ.ค. 2564 ราคาหุ้นเริ่มพุ่งขึ้น ทั้งที่ผลประกอบการขาดทุน ต่อมา 31 มี.ค. 2565 บริษัทก็ยังมีผลประกอบการขาดทุน แต่หุ้นพุ่งขึ้นมาถึง 138 เปอร์เซ็นต์ สุชาติจะบอกว่า ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะหนึ่งในกรรมการบริษัท มีภรรยา สุชาติ ถือหุ้นอยู่ด้วย เพื่อดันหุ้นจากราคาไม่กี่สตางค์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นอยู่ที่ 6.70 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผลประกอบการติดลบมาตลอด