นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวถึงกรณีกรมการขนส่งทางบกร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวจับกุมนายเสวย พุฒิสาร ผู้ขับรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน ทษ-407 กทม. มีพฤติกรรมเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนดรับผู้โดยสารจากสนามบินสุวรรณภูมิไปถนนข้าวสาร โดยเรียกเก็บค่าโดยสาร 4,000 บาท นั้น
จากการตรวจสอบพบว่า นายเสวย ทำการแก้ไขดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบของรถ (มาตรค่าโดยสาร) และให้การยอมรับว่าเป็นผู้แก้ไขดัดแปลงมาตรค่าโดยสารและเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนดจริง ถือเป็นการกระทำผิดที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 คือ ใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ถูกต้อง (แก้ไขดัดแปลงมาตรค่าโดยสาร) จึงได้เปรียบเทียบปรับ 2,000 บาท รวมถึงกระทำผิดเรียกเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่ทางราชการกำหนดตามมาตรา 66/5 จึงได้เปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะเป็นเวลา 6 เดือน พร้อมส่งเข้ารับการอบรม และบันทึกประวัติการกระทำความผิดเพื่อติดตามพฤติกรรมต่อไป
โดยที่สหกรณ์แท็กซี่ไทย ผู้ประกอบการรถแท็กซี่คันดังกล่าว กองตรวจการขนส่งทางบก ได้ประสานกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบอู่แล้ว เนื่องจากมีความสงสัยว่าอาจจะไม่ได้มีการทำลักษณะดังกล่าวเพียงแค่รถคันเดียว รวมถึงทางข้อกฎหมาย การกระทำผิดในส่วนของแท็กซี่ที่ประกอบการในลักษณะของสหกรณ์เจ้าของรถต้องมีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับการกระทำผิดด้วย
ด้านบทลงโทษที่มองว่าปัจจุบันเบาไปหรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการแท็กซี่หลายรายไม่เข็ดหลาบต่อการกระทำผิด อธิบดีกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ปัจจุบันการลงโทษเป็นไปตามพระราชบัญญัติรถยนต์ฯ ที่เป็นกฎหมายควบคุมผู้ขับรถแท็กซี่ แต่ในอนาคตเมื่อมีการรวมกฎหมายระหว่าง พ.ร.บ.รถยนต์ และ พ.ร.บ.ขนส่งฯ เข้าด้วยกัน บทลงโทษรถสาธารณะที่เอาเปรียบผู้โดยสารและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ก็จะมีบทลงโทษที่รุนแรง แต่โทษจะมีลักษณะอย่างไรบ้างนั้นคงต้องรอให้กฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง