นิตยสารนิเคอิ เอเชี่ยน รีวิว รายงานว่า 'พานาโซนิค' บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเตรียมย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือราวๆ เดือน ก.ย.นี้ เพื่อขยายฐานการผลิตให้ใหญ่ขึ้นในประเทศเวียดนามแทน
โดยพานาโซนิคจะปิดสายการผลิตเครื่องซักผ้าและตู้เย็นในเดือน ก.ย. และ ต.ค.ตามลำดับ หลังจากที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2522 หรือมากกว่า 40 ปี นอกจากจะปิดสายการผลิตรวมไปถึงตึกของตัวเองแล้ว ยังมีแผนยุบหน่วยการวิจัยและศูนย์การพัฒนาเช่นกัน การตัดสินใจของพานาโซนิคครั้งนี้มีผลกระทบโดยตรงกับคนงานในไทยอย่างน้อย 800 คน ซึ่งทางพานาโซนิคออกมายืนยันว่าจะมีการช่วยเหลือพนักงานเหล่านี้ให้มีอาชีพในเครือบริษัท
สำหรับสาเหตุหลักที่ทำให้พานาโซนิคตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากไทย ไปตั้งยังโรงงานการผลิตที่ชานเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม เพราะที่นั่นมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องซักผ้าและตู้เย็นอยู่แล้ว การปรับเปลี่ยนแผนจากการกระจายการผลิตเพื่อให้ทุกอย่างไปรวมกันอยู่ที่เดียวจึงเป็นเรื่องที่คุ้มทุนกว่า
ปัจจุบันพานาโซนิคมีพนักงานที่เวียดนามประมาณ 8,000 คน อีกทั้งสายการผลิตสินค้ายีงมีมากกว่าเครื่องซักผ้าและตู้เย็น แต่ยังรวมไปถึงโทรทัศน์ โทรศัพท์บ้านแบบไร้สาย และอุปกรณ์อุตสาหกรรมอื่นๆ
นิเคอิฯ ชี้ว่า การย้ายฐานการผลิตครั้งนี้เป็นการสะท้อนการเข้าสู่ระยะใหม่ในวงการการผลิตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นจำนวนมากทยอยย้ายโรงงานการผลิตออกจากประเทศตนเองไปยังสิงคโปร์และมาเลเซีย เนื่องจากเงินเยนตอนนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เปลี่ยนเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ซึ่งกระทบหนักกับความสามารถในการแข่งขันของหลายบริษัท
ต่อมา บริษัทญี่ปุ่นตัดสินใจทิ้งสิงคโปร์อีกครั้งเนื่องจากค่าแรงคนงานที่เพิ่มสูงขึ้นและเปลี่ยนสายการผลิตมายังประเทศไทยที่มีค่าแรงต่ำกว่าแทน ในทำนองเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยตอนนี้ บริษัทญี่ปุ่นก็เพียงมองหาช่องทางที่ต้นทุนกานผลิตจะถูกลงไปอีก พร้อมๆ กับมองหาช่องทางการขายสินค้าประเภทเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ ในประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงในแถบอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
เป้าหมายปัจจุบันของพานาโซนิค คือการลดค่าใช้จ่ายให้ได้ราวๆ 100,000 ล้านเยน หรือประมาณเกือบ 30,000 ล้านบาท ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565
อ้างอิง; Nikkei Asian Review, Nippon
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :