ไม่พบผลการค้นหา
โฆษกฯ สำนักนายกรัฐมนตรี เผยเตรียมเปิด 'คนละครึ่ง' เฟส 2 หลังกระแสดี ลดภาระ-กระตุ้นจับจ่ายได้จริง ร้านค้าร่วมเเล้วเกือบล้านราย เตือนระวังเรื่องการกระทำผิด

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยืนยันโครงการคนละครึ่งเตรียมเปิดเฟส 2 อย่างแน่นอน หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน เนื่องจากสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้สิทธิได้อย่างเป็นรูปธรรม กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้อย่างชัดเจน และช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย หาบเร่แผงลอย พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กได้อย่างแท้จริง ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้

อนุชา ระบุว่า ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินหมุนเวียนในระบบจากการใช้จ่ายของประชาชน และเป็นการเรียนรู้ระบบเทคโนโลยีการใช้แอปพลิเคชันไปในตัวด้วย

รายงาน ณ วันที่ 27 พ.ย.2563

  • มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.5 แสนร้านค้า
  • มียอดการใช้จ่ายสะสม 28,609 ล้านบาท
  • แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 14,599 ล้านบาท
  • ภาครัฐร่วมจ่ายอีก 14,010 ล้านบาท

ประชาชนที่ลงทะเบียนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2563 และได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" พร้อมยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย โดยขอให้เริ่มใช้สิทธิในการใช้จ่ายโดยเร็วภายใน 14 วัน นับจากวันถัดจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2563

ผู้ค้ายังสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่องด้วยการลงทะเบียน และติดตั้งแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" โดยหวังว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการทะลุ 1 ล้านร้านค้าภายในสิ้นปีนี้ เพื่อรองรับโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติโครงการภายในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อเริ่มเปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียน และใช้สิทธิได้ในเดือน ม.ค.2564

เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายมีความคุ้นเคยกับการใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจวิธีการใช้งานว่าใช้ได้ไม่ยากอย่างที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นกังวล จึงทำให้มั่นใจว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 2 จะได้รับการตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตาม ขอเตือนให้ระวังเรื่องการกระทำผิดด้วย เนื่องจากกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยมีการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยได้ระงับสิทธิการใช้แอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งอย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งมีการนำส่งข้อมูลหลักฐานการกระทำความผิดให้แก่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อใช้สำหรับการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ

อนุชา กล่าวว่า อย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ ที่เป็นการดำเนินการผิดเงื่อนไขโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดซึ่งจะมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปด้วย

ทั้งนี้  “โครงการคนละครึ่ง” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากของรัฐบาล ซึ่งเปิดให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้า แผงลอย หาบเร่ มีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยภาครัฐจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ ภายใต้วงเงินอุดหนุน 30,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.


อ่านข่าวอื่นๆ :