ธนาคารแคพิทัล วัน ออกมายอมรับว่า แฮ็กเกอร์ได้เจาะเข้าไปในระบบและเข้าถึงข้อมูลของผู้สมัครทำบัตรเครดิตช่วง 2005 - 2019 ในสหรัฐฯ ประมาณ 100 ล้านคน และในแคนาดาอีก 6 ล้านคน โดยธนาคารแคพิทัล วันประกาศว่าจะให้บริการเฝ้าระวังเครดิตกับผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และแม้พวกเขาเชื่อว่าข้อมูลที่รั่วไหลออกไปยังไม่ได้ถูกมิจฉาชีพนำไปใช้ แต่จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป

แคพิทัล วันระบุว่า แฮ็กเกอร์ได้ข้อมูลตั้งแต่ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ วันเกิด คะแนนเครดิต ยอดเงิน รายได้ อีกทั้งยังสามารถแฮ็กเลขประกันสังคมของลูกค้าในแคนาดาไปประมาณ 1 ล้านคน เลขประกันสังคมของลูกค้าในสหรัฐฯ อีก 140,000 คน เลขบัญชีธนาคารที่ผูกกับเลขประกันสังคม 80,000 บัญชี รวมถึงข้อมูลการเดินบัญชี "ทั้งหมด 23 วัน" ในช่วงปี 2016 - 2018

ทั้งนี้ เพจ เอ ธอมป์สัน ผู้ต้องสงัสยได้ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว และถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและละเมิดคอมพิวเตอร์ โดยธอมป์สันได้ปรากฎตัวต่อศาลสหรัฐฯ เขตซีแอตเทิล และถูกสั่งให้อยู่ในการควบคุมตัวต่อไปก่อนที่จะถึงวันพิจารณาคดีอีกครั้งในวันที่ 1 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอได้บุกตรวจค้นบ้านและยึดอุปกรณ์ดิจิทัลของธมอป์สัน เบื้องต้นพบไฟล์ที่เกี่ยวกับถึงแคพิทัล วันและนิติบุคคลอื่นๆ ที่อาจเป็นเป้าโจมตีทางไซเบอร์ด้วย

แคพิทัล วันแถลงว่า พบช่องโหว่ในระบบของตัวเองเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยจับผู้ก่อเหตุทันที เอกสารการแจ้งความกับเอฟบีไอระบุว่า มีคนส่งอีเมล์ไปบอกธนาคาร 2 วันก่อนที่จะแจ้งว่าได้ข้อมูลที่ถูกขโมยไปได้ปรากฏอยู่ที่เว็บไซต์ GitHub และก่อนหน้านี้ 1 เดือนมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า erratic ส่งข้อความส่วนตัวไปที่แคพิทัล วัน เพื่อเตือนว่าจะเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากธนาคารแคพิทัล วัน

แคพิทัล วัน ไฟแนนเชียล เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของสหรัฐฯ มีเงินมากกว่า 370,000 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ล่าสุดในสหรัฐฯ ที่เจอวิกฤตข้อมูลรั่วไหลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อปี 2017 อีควิแฟ็กซ์ หนึ่งในบริษัทรายงานเครดิตชั้นนำ ถูกแฮ็กข้อมูลครั้งใหญ่ โดยมีการประเมินว่า แฮ็กเกอร์ได้ข้อมูลเชจประกันสังคมและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อีควิแฟ็กซ์เพิ่งตกลงที่จะจจ่ายเงินไกล่เกลี่ยคดีกับเจ้าหน้าที่และมลรัฐต่างๆ อย่างน้อย 700 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ เป็นเงินเยียวยาให้กับผู้บริโภคมากถึง 425 ล้านดอลลาร์

ที่มา : The Guardian, Tech Crunch