ไม่พบผลการค้นหา
เพื่อไทย เปิดยุทธศาสตร์ใหญ่ “ทวงคืนประชาธิปไตย โดยสันติวิธี” เปิดบันได 3 ขั้น ชัยชนะแลนด์สไลด์ - สร้างรายได้ใหม่ – คืนกติกาประชาธิปไตยให้ประชาชน

วันนี้ (16 มี.ค.) นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบาย และประธานทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านรายการ “สุมหัวคิด” ที่มี หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล (คุณปลื้ม) เป็นผู้ดำเนินรายการทาง Voice ถึงยุทธศาสตร์และนโยบายของพรรคเพื่อไทย ต่อจากนี้ระบุ ในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทย จะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เขตทั้งหมด 400 คน และ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด ซึ่งรายชื่อของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่จะลงในนามพรรคเพื่อไทยขณะนี้ เพื่อแสดงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย


สำหรับองค์ประกอบในการทำให้ประสบความสำเร็จแบบแลนด์สไลด์ ในการรอบนี้นั้น นพ.พรหมินทร์ เปิดเผยว่า ประการแรก คือการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค คือปัจจัยแรก โดยเราคัดเลือกจากคนที่อยู่ใกล้ชิดคนในพื้นที่ และไม่ใช่แค่สะท้อนปัญหาเท่านั้น หลายครั้งที่เราได้คำตอบในการแก้ปัญหาจาก ส.ส. โดยเฉพาะเรื่องเกษตร


สำหรับเรื่องที่ 2 คือนโยบาย เพราะเราเป็นผู้นำในการเล่นเกมนโยบาย และสามารถปฏิบัตินโยบายให้เป็นจริง และขณะนี้ทุกพรรคกำลังแข่งขันกันในด้านนโยบาย ซึ่งน่าเสียดาย ที่ขณะนี้ไปบิดกันที่เรื่องตัวเลข โดยมีการเกทับกันว่าจะได้กันที่เท่าไหร่ ซึ่งหัวใจสำคัญของนโยบายคือ “ต้องมียุทธศาสตร์” โดยการแข่งขันเชิงนโยบายเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง โดยย้อนไปตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 ก็จะพบว่าเราทำมากกว่าที่พูด

 

สำหรับปัจจัยที่ 3 ก็คือ ความมั่นใจในการบริหาร ซึ่งคือการเสนอ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” โดยใน รธน.ฉบับนี้ อนุญาตให้ 3 คน ซึ่งใน 3 นี้ เป็นหลักประกันในการบริหาร ให้เห็นว่าเราพร้อม

 

สำหรัยยุทธศาสตร์ใหญ่ที่สำคัญกว่านั้นของพรรคเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2544 พรรคที่ได้อันดับ 1 ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย แต่ในรอบนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาล เนื่องจากเขาเขียนกติกากำหนดให้มี ส.ว. และเขียนกติกาในให้มีอำนาจรัฐมาเบียดบังจนกระทั่งไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ในปี 2562 แม้จะได้รับการเลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภาฯ พรรคเพื่อไทย จึงเสนอยุทธศาสตร์ “ทวงคืนประชาธิปไตย ด้วยสันติวิธี” จากฝั่งที่ยึดอำนาจไปแล้ว 8 ปี โดยเราเสนอบันไดไปทั้งหมด 3 ขั้น


ขั้นแรก คือเราต้องได้เสียงที่ชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ คือ 250 ขึ้นไป หากพรรคเพื่อไทยได้ 250 คือการยืนให้มั่น ซึ่งหากจะถอยไปดูในการเลือกตั้ง ปี 2562 จะพบว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคปีกประชาธิปไตย ได้ ส.ส.รวมกันประมาณ 255 เสียง แต่ด้วยกติการต่างๆ อาทิ พรรคอนาคตใหม่โดนหัก ส.ส.ไป 10 และรวมถึงการแจกใบเหลืองใบส้ม รวมถึง ส.ส.เก้าอี้เสริมต่างๆ มันเหมือนการปล้นชัยชนะเราไป ซึ่งบทเรียนในปี 2562 พบว่า รวมกันทุกพรรคได้ 255 ไม่เพียงพอ ดังนั้น ในรอบนี้ ต้องมีพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง ยืนให้มั่นเสียก่อน


ส่วนตอนนี้ที่มีตัวเลข 310 ขึ้นมานั้น เหตุผลสำคัญคือ พอเรามามูฟมาเรื่อยๆ ผลวิจัยต่างๆ มันชี้ให้เห็นความเติบโต ดังนั้น เป้าอาจจะเลื่อนไปได้ โดยเพื่อขจัดเสียง 250 ส.ว.ที่จะเข้ามากวนของฝั่งประชาธิปไตย โดยการที่จะชนะในรอบนี้ได้ มีการคาดหวังว่า ส.ว.จะมาฟังเสียงประชาชน ซึ่งถ้าหากเสียงมันถล่มทลาย ส.ว.ก็จะเกิดอาการขัดเขิน เพราะตนเองก็เหลือเทอมอยู่ไม่นาน ซึ่งอันนี้เป็นความคาดหวังของคนกลุ่มหนึ่ง แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย เราต้องมั่นใจกำลังของเราก่อน ดังนั้น โดยสรุปแล้วก็คือ แลนด์สไลด์ เพื่อให้ตั้งรัฐบาล


ขั้นที่สอง เรามีธงของขบวนประชาธิปไตย ที่จะโหวตให้เราในครั้งนี้ เพื่อรายได้ใหม่ ซึ่งถามว่า เราเป็นรัฐบาลเพื่ออะไร เราทำเพื่อรายได้ใหม่ของประชาชน เราทำเพื่อชนะไปด้วยกัน ประชาชนเขาถึงเลือกเรา และนโยบายเราก็จะต้องทำให้ได้จริงด้วย และเมื่อเราได้รายได้ใหม่มาแล้ว เราจะเอารายได้ใหม่ มาแก้ปัญหาที่ประชาชนเป็นทุกข์ เราจะเห็นว่า พรรคอื่นๆพูดถึงระบบสวัสดิการ และการใช้เงิน แต่พรรคเพื่อไทย พูดถึงเรื่องการหาเงินด้วย โดยจะเห็นชัดจากรัฐบาลนี้ใช้เงินแบบเบี้ยหัวแตก ไม่พอก็กู้มา โดยเราจะไม่แก้หนี้ด้วยหนี้ แต่เราจะแก้หนี้ด้วยรายได้ใหม่ โดยเป้าหมายของเรา คือการ หาโอกาสและเป้าหมายใหม่ๆ รวมถึงเฟ้นหาศัยภาพซ่อนอยู่แต่คนมองไม่เห็นขึ้นมา

แพทองธาร เศรษฐา 1-DB8BF82A9B94.jpeg


“มีคนเคยคำนวนว่า ในยุคไทยรักไทย หรือแม้กระทั่งยุคจำนนำข้าวของเพื่อไทยนั้น การใช้จ่ายของประชาชนโฟลวกว่าตอนรัฐบาลนี้แจกบัตรคนจนกว่า 4 เท่าตัว เพราะประชาชนได้ความมั่นใจว่าได้ต่อไปแน่ เขาจึงใช้ และพอใช้เงิน อย่างเกษตรกรก็เอาเงินไปซื้อของ ร้านค้าก็ขายของได้ ก็ไปซื้อของจากโรงงาน โรงงานก็จะผลิตของได้และจ้างคนงาน ทุกอย่างมันเป็นลูกโซ่ โดยสิ่งสุดท้าย เมื่อประชาชนใช้จ่ายรัฐบาลก็เก็บภาษีได้ และนำมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ เพราะวันนี้กู้กันจนไม่พอใช้ ซึ่งการใช้เงินนั้น ต้องใช้ให้แม่น เพื่อสร้างพลังการผลิตขึ้นมาจริงๆ"

S__10027307.jpg


ส่วนเป้าหมายสุดท้าย เราปักธงไว้เลยว่า เราจะแก้รัฐธรรมนูญ โดยเราจะกลับไปร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน เราไม่เคยลืมเรื่องนี้ เพราะชนะแล้วเราต้องเอาตัวให้รอด และถ้าอยากจะรอดระยะยาว เราก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น เรามีบันได 3 ขั้น เราคิดชัดเจน สิ่งจากที่เราประกาศไม่เคยหลุดไปจากกรอบนี้เลย แต่วันนี้เราขอใช้คำใหญ่ว่า “ยุทธศาสตร์ทวงคืนประชาธิปไตย ให้กับประชาชน อย่างสันติวิธี” ซึ่งถ้าหากเรารีบทำเกินไป ก็อาจจะเจออุปสรรคอย่างแน่นอน และนี่คือเป้าที่เราวางไว้ภายใน 3-4 ปี