ประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่ทยอยเปิดให้บริการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2561 และเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2563 โดยในช่วงทดลองให้บริการขณะที่ยังไม่ได้เดินรถเต็มรูปแบบ ไม่ได้เรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการเป็นเวลาเกือบ 3 ปี เพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน
ทั้งนี้ เมื่อเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบแล้ว ประกอบกับ กทม.มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จึงจำเป็นต้องเริ่มเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการในส่วนต่อขยายสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 2564 เป็นต้นไป โดยผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช ยังคงเสียค่าโดยสารในอัตราเดิมและไม่มีการเรียกเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนกันระหว่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก (หมอชิต-อ่อนนุช และสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ) กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 ส่วน (ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า อ่อนนุช-แบริ่ง ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
โดยจากการคำนวณอัตราค่าทั้งเส้นสูงสุดจะรวมเป็นเงิน 158 บาท แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จึงปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายลงมาอยู่ที่ 104 บาท ซึ่งจะส่งผลให้ กทม.จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยเมื่อนับรวมตั้งแต่ปี 2564-2572 จะมีผลขาดทุนรวมประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ล่าสุดมีรายงานว่าบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ได้มีหนังสือทวงหนี้ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่อให้ กทม.ดำเนินการชำระหนี้ คือ ค่าหนี้ค่าจ้างค้างชำระนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2560 คิดเป็นเงินกว่า 9.6 พันล้านบาท และหนี้ค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนมี.ค. 2564 คิดเป็นเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากไม่ชำระ บีทีเอสซีจะดำเนินการพิจารณาใช้สิทธิตามกฎหมายและตามสัญญาของบริษัทฯ เอากับกรุงเทพธนาคมและ กทม.ต่อไป