เพียงเวลากว่า 3 เดือน ให้ประสบการณ์ เปลี่ยนทัศนคติ และมุมมองในชีวิต ของเด็กไทย วัย 22 ปี ‘สมิธ ภาสวิชญ์ บูรณนัติ’ ที่ยอมพักงานวงการบันเทิงไทย ไปตามหาความฝัน ในรายการเฟ้นหาไอดอลจีน อย่าง WE ARE YOUNG 2020 ที่เปิดโอกาสให้วัยรุ่นหลากหลายความสามารถจากทั่วโลกมาเข้าแข่งขันในรายการ จากผู้สมัครกว่า 4,000 คน ‘สมิธ ภาสวิชญ์’ สามารถฝ่าด่านไปอยู่ในผู้เข้าแข่งขัน 84 คนสุดท้าย แต่เส้นทางฝันนี้ไม่ง่าย
‘สมิธ ภาสวิชญ์’ เปิดใจกับ วอยซ์ออนไลน์ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ถึงจีน ความมั่นใจเต็มร้อยกับก้าวแรกที่บินเดี่ยวข้ามประเทศ ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ความท้อถาโถม และเป็นปัญหาใหญ่ทันที เมื่อภาษาจีนที่ฝึกฝนไปอย่างหนักเกือบครึ่งปี กลับไม่สามารถใช้สื่อสารในการถ่ายรายการได้
“วันแรกก็เจอของจริงเลย เขาถ่ายตลอด ตั้งแต่ลงเครื่อง มันเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะผมพูดอะไรไม่ได้เลย กล้องมี 3 ตัว รับขึ้นรถตู้กลับโรงแรม มันเป็นความรู้สึกแรกที่เรา ท้อเลย เขาให้พูดจีน พูดตลอด แม้เราจะเตรียมตัวไปแต่มันไม่พอ ผมสื่อสารได้แค่ ผมหนาวจัง กินข้าวแล้ว ศัพท์ที่เราคุยกับเพื่อน ศัพท์แสลง ศัพท์วัยรุ่นเราไม่ได้เลย หน้าในกล้องเราก็หน้าเสีย เขาอยากดูการแสดงออกของเรา แต่เราเกร็งไปหมด เพื่อนคนไทยที่เจอในรายการ ไอเฟล - คริษฐ์ เฉิน เป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน เขาสามารถพูดจีนได้ แต่เรากลับสื่อสารไม่ได้เลย ปัญหาใหญ่เลย เพราะเขาให้ใช้ภาษาจีน และนี่เป็นครั้งแรกที่เราเคยสัมผัสรายการเรียลลิตี้ มีกล้อง 3 ตัวล้อมรอบตัวเรา มันยากตั้งแต่วันแรกที่ถึงจีน”
สมิธ เล่าต่อว่า ทางรายการได้รวมเขาไว้ในกลุ่มเด็กต่างชาติที่ผ่านเข้ารายการ ในชื่อทีม HOT BOY มี ไอเฟล-คริษฐ์ เฉิน เด็กไทยลูกครึ่งไต้หวัน และ Jarrel Huang ผู้ร่วมแข่งขันจากสิงคโปร์ ซึ่งทั้งคู่สามารถพูดภาษาจีนได้ ในขณะที่เขาไม่สามารถสื่อสารได้ และกดดันไม่กล้าที่จะพูดภาษาจีน แน่นอนว่าซีนในรายการหายไป
“ผมไม่สามารถสื่อสารอะไรได้เลย ก็นั่งเงียบ เราไม่สามารถพูดได้ มันกดดันตั้งแต่ภาษาจีน และซีนในรายการที่เราไม่ได้ เรากำลังจะหายไปจากรายการ นี่แค่วันที่ 2 และเราก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้”
วันที่ 3 เป็นการถ่ายสัมภาษณ์ สมิธ เล่าว่า ทีมงานเริ่มเตือนเขาให้พูดอะไรหน่อย เขาจึงขอพูดภาษาไทย และระบายความอัดอั้นทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นมีล่าม ทำให้ทีมงานเริ่มเข้าใจ เพื่อนเริ่มเข้ามาช่วยสอนพูด
เมื่อผู้เข้าแข่งขันเริ่มเข้ามาเก็บตัวในรายการ ช่วงเดือนแรกทีมงานยังไม่ให้เจอผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นๆ นอกจากคนในทีม 3 คนเท่านั้น มีโจทย์แข่งขันจากกรรมการเพื่อการสอบและจัดอันดับ โดยถ่ายทำอาทิตย์ละครั้ง สัปดาห์แรกได้อันดับ ที่ 19กรรมการชื่นชม และคาดหวังการพัฒนาด้านการร้องการเต้นของทีมพวกเขา แต่เมื่อแข่งขันเรื่อยๆในสัปดาห์ถัดๆมา อันดับไม่ขยับ อันดับอยู่ที่เดิม เดี๋ยว 19 เดี๋ยว 18 สูงสุดคือ 16 ‘สมิธ’ เริ่มสังเกตุความสามารถของตัวเองและคนในทีม ปรับการแสดงให้ดีขึ้น จนกรรมการบอกว่า พวกคุณโชว์ไม่เหมือนไอดอล
“กรรมการบอกว่าเวลาโชว์ไม่เหมือนไอดอล มีความสามารถแต่ไม่มีเสน่ห์ ลองปรับกับเพื่อนๆในทีมก็ยังไม่ผ่าน จนมาเข้าใจความเป็นไอดอล ว่าต้องมีการเล่นกล้อง เล่นกับคนดู คือพวกเรามาร้องๆเต้นๆ เลย มันเลยขาดเสน่ห์ จนมีครูเข้ามาสอนเข้ามาปรับพวกเรา หลังผ่านไป 1 เดือน เราก็เริ่มพัฒนาจนติดอันดับ 1 ใน 10 นาทีนั้นดีใจมากที่มาถูกทาง”
สมิธ บอกว่า ในรายการนอกจากจะต้องพัฒนาการร้องการเต้น สิ่งที่ต้องพัฒนาคือภาษา แต่เขาก็ยังใช้ภาษาจีนไม่ได้มาก เพราะเวลาอยู่กับเพื่อนสิงคโปร์ก็ใช้ภาษาอังกฤษ อยู่กับเพื่อนลูกครึ่งไทยไต้หวัน ก็ใช้ภาษาไทย เมื่อวินาทีเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันทุกคนมาเจอเขา ปัญหาเรื่องภาษากลับมากดดันเขาทันที แต่นั้นถึงเวลาที่การแข่งขันในรายการเริ่มคัดผู้เข้าแข่งขันออกจาก 84 คนเหลือ 52 คน
‘2 อาทิตย์ที่ผมได้เจอเพื่อนๆ ทีมอื่นผมตัดสินใจพูดภาษาจีนแบบลองผิดลองถูก และก็เริ่มสื่อสารกับทุกคนได้ แต่มันก็ถึงเวลาที่ต้องโชว์และคัดเลือกทีมออก พอโชว์เริ่ม ผมเห็นโชว์ทีมอื่นๆ เขาดีมาก โชว์หลักส่วนใหญ่เน้นไปทางเต้น มันเข้าใจเลยว่าการประกวดคืออะไร เราอยู่กัน 3 คน เราก็เห็นกันแค่นั้น จนได้เห็นโชว์ของคนอื่นเขาเก่งจริงๆ และรู้ว่ารายการนี้อยากได้คนที่เต้นมากกว่าร้อง คนที่เข้ารอบระดับเทพ เต้นเก่งและร้องเก่ง ในใจผมไม่อยากโดนคัดออก ตอนที่โชว์กรรมการมองทีมเราไม่สามารถพัฒนาต่อได้เยอะ เพราะว่าการเต้นของพวกเรายังไม่ถึงมาตรฐานที่เขาตั้งไว้ เขาคัดเลือกเข้ารอบ 52 คน จาก 84 คน ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลย เสียใจและเสียดายที่เรายังไม่ได้พัฒนาให้เขาเห็น เกือบ 2 เดือนในการเก็บตัวได้ในสิ่งที่ไม่เคยได้ เต้น 8 ชั่วโมงทุกวัน สลับซ้อมร้องเพลง ยาวนานสุดคือซ้อมติดกัน 6 ชั่วโมง ทีมผมร้องดีแต่เต้นไม่ค่อยดี แต่คนอื่นเก่งกว่าเรา เต้นเก่งกว่าเรา มันต้องรอบด้าน เราจะเก่งด้านเดียวไม่ได้”
สมิธ เผยว่า เขาหวังกับตัวเองไว้มาก มั่นใจมากว่าผ่านเข้ารอบ การเตรียมตัวก่อนไป ทั้งการซ้อมร้อง ซ้อมเต้นที่ถึงขั้นเล็บหลุด ภาษาจีนที่ทุ่มเท มันยังน้อยไป เขาต้องเตรียมตัวมากกว่านี้เป็น 10 เท่า เขาบอกว่าการเตรียมตัวแบบเข้มข้นกว่าครึ่งปีก่อนไปของเขา “มันเป็นแค่เหลือบของรายการ”
เขาคิดผิดและชะล่าใจมาก เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเด็กไทยผ่านเข้ารอบ รายการต้องสนใจ กล้องต้องจับเราแน่นอน นี่คือการคิดในแบบคนขี้เกียจ เพราะความเป็นจริง เขาต้องทำทุกอย่าง กล้องถึงจะจับ เขาจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ สมิธ เล่าย้อนความหลัง
“มันเปลี่ยนทัศนคติ เราจะต้องใช้โอกาสอย่างมีค่ามากกว่านี้ ที่ผ่านมาเราทำอะไรมีคนช่วยประคองตลอดตอนอยู่ที่ไทย แต่พออยู่จีน คือตัวคนเดียว ไม่มีเลยสักคนที่จะถ่ายเรา แรกๆคือปรับตัวไม่ได้ หลังๆคือต้องกระตือรือร้น เรามีอะไรดีเขาถึงสนใจ เราไม่ได้ทำให้เขาสนใจตั้งแต่เริ่มรายการด้วย มากระตือรือร้นตอนหลังมันก็ช้าเกินไป”
สมิธ เผยว่าเขามีโอกาสได้ดูรายการเฟ้นหาไอดอลหญิงของจีน ที่ เนเน่ พรนับพัน ได้แข่งขันจนชนะได้เดบิวต์เป็นศิลปิน เขายอมรับว่ามันสะท้อนกลับมาที่ตัวเขาไม่น้อย เขาสังเกตเห็น เนเน่ ในรายการช่วงเริ่มต้น การพูดภาษาจีน ไม่ได้ต่างจากเขา แต่เนเน่ มีความพยายามจะพูด จะสื่อสารในรายการมากกว่าเขา
“ผมเห็นเนเน่ พยายามพูด พยายามสื่อสารตลอดในรายการ มันก็สะท้อนกลับมาที่ตัวผมนะ ว่าจริงๆไม่จำเป็นต้องพูดให้รู้เรื่อง แต่เราต้องพยายามสื่อสารให้เขาเข้าใจ ว่าเราอยากบอกอะไร ให้เขารู้ว่า เรามีอย่างนี้ เราอยากทำแบบนี้ ถ้าไม่พูดเขาก็ไม่รู้ ยิ่งภาษาเราไม่ได้เราเงียบ เขาก็ไม่รู้ มันทำให้ผมเห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง เพราะผมไม่กล้าที่จะทลายกรอบตัวเอง บอกกับตัวเองว่าพูดจีนไม่ได้ จนวันหนึ่งผมพูดจีนมั่วซั่วไปเลย เขาเข้าใจที่เราพูด ซึ่งตอนนั้นมันปลายๆอาทิตย์ที่จะโชว์แล้ว ถ้าเราพยายามที่จะสื่อสารหน่อย เขาคงเข้าใจเรา
ผมก็ดีใจนะที่ตัวเองทำได้ขนาดนี้ แต่ก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แล้วก็รู้ตัวไม่คิดจะแก้ แต่พอไปจีนผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ภาษาก็ไม่ได้ และไม่มีใครคุยกับผมเลย ช่วงที่เจอเพื่อนครั้งแรก ผมนั่งเงียบ พอวันต่อมาผมพูด พูดไม่รู้เรื่อง เพื่อนๆ ก็ขำที่ผมพูดไม่รู้เรื่อง เขาก็เริ่มสอน เราก็พูดได้นี่นา”
ประสบการณ์ตลอด 3 เดือนครึ่ง ทำให้สมิธ เข้าใจอะไรมากขึ้น มีทัศนคติกว้างขึ้น และเปิดโลกมากขึ้น เขากล้าที่จะทลายกรอบเดิมๆ ของตัวเอง ในการที่สื่อสารกับคนอื่นหน้าใหม่มากขึ้น
“มันทำให้เราเจอมุมมองใหม่ๆ โลกนี้ไม่ได้มีแค่นี้นะ ผมอยู่ในเซฟโซนของตัวเองมาตลอด ก็คิดว่าอยู่ได้ การไปจีน ครั้งนี้มันทลายกรอบของผม อยากคุยกับทุกคนเลย เราได้ฟังความคิดคนอื่น โลกมันกว้างขึ้น มันเหมือนได้ทัศนคติดีๆ ได้แรงขับเคลื่อนในการทำงานมากขึ้น ถ้าจะเป็นคนเงียบๆ รอโอกาส รอไปเถอะ เราไม่ใช่คนที่หล่อที่สุด ไม่ใช่คนร้องเพลงดีที่สุด ไม่ใช่คนเต้นเก่งที่สุด เราจะมานั่งรอโอกาสไม่ได้ เราต้องสู้มากขึ้น ถึงวันหนึ่งที่เราเรียกร้องหาโอกาสมันจะไม่มา ถ้าเราไม่คว้าไว้แต่แรก”
ทั้งนี้ หลังกลับมาที่ไทย ‘สมิธ’ วางแผนกลับมาทำงานการแสดงในวงการบันเทิงไทยต่อ ส่วนงานที่จีนนั้น มองเป็นเรื่องของอนาคต ถ้ามีโอกาสเขาจะรีบคว้าไว้และทำให้ดี และไม่ทำลายโอกาสที่เคยได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :