วอยซ์ เดินทางสู่ศูนย์บริการรถยนต์ย่านพระราม 9 พูดคุยกับ สิริน สงวนสิน หรือ ลี วัย 28 ปี ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 31 พื้นที่เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) พรรคก้าวไกล เขาเล่าให้ฟังว่า หลังเรียนจบในระดับม.4 จากโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศ เขาก็ได้ย้ายไปเริ่มต้นการเรียนในระดับมัธยมปลายใหม่อีกครั้งที่ประเทศออสเตรเลีย จนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน Applied Finance จาก University of South Australia และปริญญาโทด้าน Financial Analysis จาก University of New South Wales โดยหลังเรียนจบ เขาเริ่มต้นทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้กับบริษัทตรวจสอบบัญชีชื่อดังระดับโลกที่ประเทศสิงคโปร์ รวมถึงบริษัทธุรกิจการเงินที่ประเทศไทย รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี ก่อนจะมารับตำแหน่งผู้บริหาร บริษัท พระราม 9 ฮอนด้าคาร์ส จำกัด ในฐานะทายาทคนโตของอาณาจักร “ฮอนด้าปิ่นเกล้ากรุ๊ป” ผู้นำเข้ารถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่
เขาบอกว่า จุดเริ่มต้นของความสนใจในการเมืองมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นว่า คุณภาพชีวิตระหว่างออสเตรเลียกับไทยต่างกันราวฟ้ากับเหว ระหว่างเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย เขาทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย ซึ่งรายได้ดีกว่าที่ไทยมาก ตัวเขาเองเรียนจบวุฒิปริญญาโท เมื่อกลับมาสมัครทำงานที่บริษัทในไทย ต้องยอมรับว่าเงินเดือนยังน้อยกว่าพนักงานล้างจานที่ออสเตรเลียเสียอีก จึงคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติเป็นอย่างมากที่ประเทศนี้มีความเหลื่อมล้ำสูง ขณะที่คนออสเตรเลียโดยส่วนมากจะมีกินมีใช้พอๆกัน ไม่ใช่ว่าคนรวยก็รวยไปเลย คนจนก็จนไปเลย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่คนรวยอยู่ง่าย คนจนอยู่ยาก อย่างที่เราพูดกันว่าต้องมีคอนเนคชัน ต้องรู้จักคนให้มากถึงจะอยู่ได้ ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น คนเราต้องมีความเท่าเทียมกันมากกว่านี้
สำหรับสาเหตุที่เขาเลือกที่จะเข้ามาเป็นผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล เพราะเขามองว่า พรรคก้าวไกล เป็นพรรคเดียวที่พูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมา แม้พรรคอื่นจะพูดว่าอยากให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการนำเสนอนโยบายต่างๆ ด้านเศรษฐกิจ แต่เขาเชื่อว่า ถ้าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ต้องเจาะไปที่โครงสร้างปัญหาประเทศ พร้อมยอมรับด้วยว่า สมัยเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ออกไปลงคะแนนเสียงให้พรรคอนาคตใหม่ในตอนนั้น
ทว่าเมื่อ ส.ส. จากเขตของตัวเองได้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ แต่กลับโหวตสวนมติพรรคในวาระสำคัญอย่างการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลเพื่อไปสังกัดพรรคอื่น จุดนั้นจึงเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจเริ่มต้นงานการเมืองกับพรรคก้าวไกลได้ง่ายขึ้น ทันทีที่พรรคได้ประกาศเฟ้นหาว่าที่ผู้สมัครฯช่วงปี 2564 โดยเขาย้ำว่า เมื่อผู้แทนถือเสียงประชาชนอยู่ในมือ มันก็เสมือนเป็นเจตจำนงของประชาชนที่ผู้แทนต้องทำตาม และหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็พร้อมลงมือทำเอง
นอกจากนี้ เขายังเห็นว่า บริบททางการเมืองในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นสภาพสังคมที่เด็กรุ่นใหม่คือคนที่จะบอกผู้ใหญ่ว่าควรเลือกสิ่งใดให้กับบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้ใหญ่คอยชี้นำเด็กอีกต่อไป ดังนั้น ผลงานจากการทำงานในสภาฯ ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกล จึงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ทำให้เหล่าผู้สนับสนุนพรรคการเมืองดั้งเดิมเปลี่ยนใจมาให้โอกาสนักการเมืองหน้าใหม่มากขึ้น
สำหรับประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เขาอยากผลักดันให้เกิดการแก้ไขมากที่สุด คือ การปฏิรูปกองทัพ โดยอ้างถึงตอนหนึ่งของปาฐกฐาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 17 โดย ธงชัย วินิจจะกูล ที่ว่า ระบบศักดินาของประเทศไทยจะไม่มีวันหายไป หากไม่ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า กองทัพไทยมีความแตกต่างจากกองทัพประเทศอื่น ไม่มีสื่อมวลชนประเทศไหนไปตั้งคำถามกับผู้บัญชาการเหล่าทัพว่าจะปฏิวัติหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เป็นความผิดฐานก่อกบฏ ทั้งที่เราควรปลูกฝังให้กองทัพเข้าใจโดยสามัญสำนึกว่า การปฏิวัติเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ส่วนหนึ่งเพราะเขาคาดหวังจะเห็นประชาธิปไตยในประเทศนี้แข็งแรง อยากให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษนิยม เคารพเสียงประชาชน ต้องมีความใจเย็นและอดทนอดกลั้นต่อผู้นำที่เสียงส่วนใหญ่เลือกเข้ามา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ปล่อยให้ประชาชนเรียนรู้ อย่าคิดแทนพวกเขา.
ภาพ : ปฏิภัทร จันทร์ทอง