วันนี้ (16 มิถุนายน 2568) ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก Phil Saengkrai โดยระบุว่า
หลายท่านอาจจะไม่พอใจที่ฝ่ายไทยสื่อสารกับประชาชนล่าช้า ผมเข้าใจ แต่ผมอยากจะชวนให้สังเกตชั้นเชิงการเจรจาของฝั่งไทยในแถลงข่าวฉบับนี้
แถลงข่าวกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า "ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา" และ "บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้"
อย่างหลังนี่แหละครับที่มีนัยสำคัญ เพราะ agreed minutes เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา มีผลผูกพันทั้งสองฝ่าย การที่ไทยสามารถนำท่าทีของฝ่ายไทยไปแนบเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกการประชุมนี้ได้ ก็เท่ากับว่า กัมพูชายอมรับและผูกพันตามเนื้อหาในเอกสารแนบนี้ด้วย
ผมอยากให้อ่านภาษาที่ใช้อย่างละเอียด
- ข้อ 1 กัมพูชารับรู้และยอมรับว่า การดำเนินการของทหารเป็นไปตามหลักการป้องกันตนเอง และเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
(เท่าที่เห็นจากข่าว กัมพูชาไม่ได้โต้แย้งในประเด็นนี้ในแถลงการณ์ด้วย ยิ่งตอกย้ำว่า กัมพูชายอมรับว่าไทยทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว)
- ข้อ 2 กัมพูชารับรู้ว่า "ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่" อ่านตรงนี้ดีๆ นะครับ
กัมพูชากำลังยอมรับว่า เป็นฝ่ายที่เลิกการเจรจาไปเอง พูดง่ายๆ หากกระบวนการเจรจาในส่วนพื้นที่พิพาทสี่แห่งไม่เดินหน้า ก็เป็นความผิดของฝ่ายกัมพูชาเอง ที่ "เลือกที่จะปิดประตูการเจรจา"
- ข้อ 3 และข้อ 4 อธิบายหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายที่ผูกพันต่อกันซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก MOU 2543 คือ "ต้องใช้ความอดกลั้น" (คีย์เวิร์ดของฝ่ายไทยที่ใช้มาตลอด) และ "ต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิด" สองข้อนี้ผูกพันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ทำให้เข้าใจผิด เท่ากับว่าทำผิดความตกลงที่ทำขึ้นเมื่อวาน แต่กลับเป็นฝ่ายที่เดินหน้าไปฟ้องศาลโลก เช่นนี้แล้ว การฟ้องคดีชอบธรรมหรือไม่
ผมไม่ได้เห็นเอกสารตัวจริง แต่หากเป็นไปตามที่กระทรวงฯ แถลง การใส่เอกสารแนบเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประชุมที่ตกลงกันสองฝ่าย agreed minutes นี้ เป็นกลวิธีที่แยบคายและทำให้ไทยได้เปรียบมากครับ
โดยเนื้อหาจาก แถลงข่าว การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย (JBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่ปรากฎต่อสาธารณะชน และยังเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า
วันที่นำเข้าข้อมูล 15 มิ.ย. 2568 วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 มิ.ย. 2568
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Joint Boundary Commission (JBC) ครั้งที่ 6 จัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ฝ่ายไทยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดนเป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชามีนายลำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 13 ปี หลังจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพฯ ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารืออย่างกว้างขวางซึ่งในประเด็นการดำเนินงานด้านเทคนิคภายใต้กรอบกลไก JBC นำไปสู่ความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่
(1) รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee (JTSC)) ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
(2) เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
(3) เห็นชอบการส่งชุดสำรวจร่วมไปลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในพื้นที่ที่ใช้ลำน้ำ หรือเส้นตรงเป็นเส้นเขตแดน โดยมอบหมายให้ JTSC ไปหารือและจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) ร่วมกันต่อไป
(4) เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ ไปพร้อม ๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป
อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยแสดงความผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อการที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาเฉพาะและลดความตึงเครียดระหว่างกัน แต่ยังเดินหน้านำเรื่องพื้นที่ 4 จุด (พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) ไปสู่การพิจารณาของ ICJ ซึ่งสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ในการนี้ ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้
1. การดำเนินการของไทยเป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อน และเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคี และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย
3. ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
4. ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือในประเด็นนี้
ทั้งนี้ การประชุมมิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200000 คณะกรรมการปักปันสยาม - อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด การประชุมในครั้งนี้เป็นการหารือในประเด็นเทคนิคในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนแม่บทฯ
ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2568
หลังจากที่ ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อการเจรจา JBC แล้วได้มีความเห็นที่น่าสนใจต่อโพสต์ดังกล่าวดังนี้