ประชาชนชาวออสเตรเลียหลายพันคนตัดสินใจลงถนนประท้วงใจกลางนครซิดนีย์ พร้อมตะโกน เรียกร้องให้รัฐบาลคืน 'เสรีภาพ' ให้ประชาชน หลังถูกล็อกดาวน์มาแล้ว 4 สัปดาห์ บางคนชูป้ายประท้วงพร้อมข้อความระบุว่า "ถอดหน้ากากแล้วส่งเสียงของคุณออกมา" "นี่คือการควบคุมประชาชนสูงสุดโดยรัฐ หยุดได้แล้ว!" และ "ตื่นได้แล้วออสเตรเลีย!" หลังมีการยกระดับมาตรการคุมเข้มเพื่อหวังสกัดการระบาดของโควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบ

เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าได้มีการจับกุมผู้ประท้วงไปแล้วอย่างน้อย 57 คนในซิดนีย์ ขณะที่ในเมลเบิร์นและบริสเบนของออสเตรเลีย ประชาชนก็ได้ออกมารวมตัวประท้วงเช่นเดียวกัน ขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลได้ประกาศจุดศูนย์กลางการระบาดแห่งใหม่ พร้อมมีการแถลงว่า "เจ้าหน้าที่ตำรวจของนิวเซาท์เวลเห็นความสำคัญและสนับสนุนการใช้สิทธิของพลเมืองในการชุมนุมอย่างสันติและการใช้เสรีภาพในการพูดและแสดงออก อย่างไรก็ตาม การประท้วงในวันนี้เป็นการละเมิดคำสั่งทางสาธารณสุขเพื่อยับยั้งการระบาดของโควิด-19"

ในวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 173 คน แม้ดูเป็นจำนวนไม่มากแต่ถือเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะระหว่างเดือน ก.ย. 2563 - มิ.ย. 2564 ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันต่ำมากเพียงหลักหน่วยและหลักสิบเท่านั้น อีกทั้งยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่มีการระบาดเพียง 32,755 คนและเสียชีวิตรวม 916 ราย 

การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อส่งผลให้ทางการของออสเตรเลียได้กลับมาประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศอีกครั้ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนหลังจากที่ชาวออสเตรเลียสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายเดือนด้วยมาตรการควบคุมที่เข้มแข็งอย่างการล็อกดาวน์แบบ 'เร่งด่วน' เฉพาะในพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ การจ่ายเงินเยียวยาและระบบกักตัวที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการยืนยันไม่เปิดประเทศแม้จะสามารถกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้แล้วอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ 'เดลตา' ได้สร้างความท้าทายอย่างมากให้กับรัฐบาลของออสเตรเลีย

ทั้งนี้ กระบวนการฉีดวัคซีนในออสเตรเลียถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนกังวลต่อการระบาดของโควิดสายพันธุ์ 'เดลตา' เพราะ ประชากรทั้ง 25 ล้านคนของออสเตรเลีย มีผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสเพียงแค่ 30.2% ขณะที่จำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบทั้งสองโดสก็คิดเป็นสัดส่วนแค่ 12.6% ของประชากร เท่านั้น