CNN รายงานการแถลงของกองบัญชาการภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางของสหรัฐฯ หรือ US Central Command ซึ่งเปิดเผยว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้ใช้โดรนไร้คนขับโจมตีสมาชิกของกลุ่มรัฐอิสลามแห่งจังหวัดโคราซัน หรือ ไอซิส-เค โดยเชื่อว่าเป็นผู้วางแผนของกลุ่ม 'ไอซิส-เค' ซึ่งการสังหารเกิดขึ้นในจังหวัดนากาฮาห์ของประเทศอัฟกานิสถานวันนี้
ทางกองทัพคาดว่าบุคคลดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนโจมตีที่ตั้งของกองทัพสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงคาบูล แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าบุคคลที่ถูกสังหารด้วยโดรนนั้นมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสมาชิกของกลุ่มไอซิส-เค ที่ได้ทำการก่อการร้ายระเบิดพลีชีพสองครั้งบริเวณประตูของสนามบินกรุงคาบูลและโรงแรมแบรอนที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่
นาวาเอกวิลเลียม เออร์แบน โฆษกของกองบัญชาการภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ระบุว่า การโจมตีด้วยโดรนในวันนี้ไม่มีพลเรือนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีแต่เพียงเป้าหมายคนเดียวเท่านั้นที่ถูกสังหาร โดยแหล่งข่าวชี้ว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือผู้อนุมัติการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ด้วยตัวเอง
การเปิดเผยกรณีโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐฯ ในวันนี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลั่นวาจาไว้ว่าจะเอาคืนอย่างแน่นอนสำหรับกรณีการก่อการร้ายด้วยการระเบิดพลีชีพที่สนามบินกรุงคาบูลและโรงแรมแบรอนในวันที่ 26 ส.ค. อันเป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เสียชีวิต 13 ราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นประชาชนมีอีกอย่างน้อย 170 ราย ซึ่งท่ามกลางความโกลาหลที่กำลังเกิดขึ้นนี้สหรัฐฯ กำลังเร่งเดินหน้าอพยพประชาชนออกจากอัฟกานิสถานอย่างต่อเนื่องก่อนถึงวันสุดท้ายคือวันที่ 31 ส.ค.
"เราจะไม่ให้อภัย เราจะไม่มีวันลืม เราจะตามล่า และเอาคืนอย่างสาสม" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว ณ ทำเนียบขาวหลังเหตุก่อการร้าย
ทั้งนี้ หลังเหตุระเบิด กลุ่มที่เรียกตนเองว่า "ไอซิส-เค" กลุ่มติดอาวุธมุสลิมสายสุดโต่งที่เป็นแนวร่วมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ประกาศผ่านข้อความบนแอพลิเคชันเทเลแกรม อ้างว่าเป็นผู้ลงมือ ระบุว่ามือระเบิดฆ่าตัวตายจุดระเบิดที่ติดไว้กับเสื้อกั๊กขณะเข้าไปปะปนอยู่กับชาวอัฟกันและกองกำลังสหรัฐฯใกล้บริเวณสนามบิน
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีการแสดงหลักฐานตามการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงว่ากลุ่มไอซิส-เค จะอยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายจริง นับเป็นเหตุก่อการร้ายนองเลือดที่สุดที่เกิดกับกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานนับตั้งแต่ปี 2554
เจน ซากี โฆษกประจำทำเนียบขาวแถลงในวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับคำเตือนจากทีมเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติว่าการก่อการร้ายอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทีมรัฐบาลของสหรัฐฯ เตรียมความพร้อมอย่างเข้มงวดเพื่อรับมือความเป็นไปได้ของการก่อการร้ายครั้งถัดไปที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของการอพยพประชาชนออกจากประเทศอัฟกานิสถาน "การข่มขู่ยังคงมีอยู่และกำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น" หนึ่งในเจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวกล่าว
ด้านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงคาบูลออกประกาศเตือนพลเมืองชาวอเมริกันให้อยู่ห่างจากประตูของสนามบินทันทีเพื่อความปลอดภัยเนื่องจากมีการข่มขู่ด้านความปลอดภัยในบริเวณของสนามบิน อีกทั้งยังประกาศเตือนไม่ให้พลเมืองชาวอเมริกันเดินทางไปยังสนามบิน
ปัจจุบันสหรัฐฯ สามารถช่วยอพยพและอำนวยความสะดวกในขั้นตอนของการอพยพประชาชนออกจากอัฟกานิสถานไปแล้วมากกว่า 109,200 คน นับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.เป็นต้นมา นับว่าเป็นการอพยพพลเมืองครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์