ซัมซุงมั่นใจจะรั้งอันดับ 1 อีกทศวรรษ
การแข่งขันในธุรกิจสมาร์ตโฟนดุเดือดขึ้นทุกปี เพราะแต่ละแบรนด์ก็มีเป้าหมายที่จะขยับอันดับยอดขายขึ้นมาให้สูงกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะหัวเว่ยที่ตอนนี้อยู่อันดับที่ 3 สูสีกับแอปเปิล ได้ตั้งเป้าหมายและประกาศชัดเจนว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนซัมซุงให้ได้ภายในปี 2020 ล่าสุด ซีอีโอของซัมซุงได้ออกมาพูดตอบโต้หัวเว่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว โดย ดีเจ โค (DJ Koh) ซีอีโอของซัมซุง ให้สัมภาษณ์กับสื่อของฝรั่งเศส แสดงความมั่นใจว่าซัมซุงจะยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจสมาร์ตโฟนต่อไปได้อีก 10 ปี เนื่องจากซัมซุงยังคงมุ่งหน้าพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจของซัมซุงต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า
แม้การเติบโตของสมาร์ตโฟนซัมซุงจะลดลงทั่วโลกในปีที่ผ่านมา แค่โคเชื่อมั่นว่า Galaxy Fold สมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของซัมซุงจะมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับลูกค้าและจะช่วยกระตุ้นยอดขายของซัมซุงได้ ซึ่งตอนนี้ ทางซัมซุงยังคงปรับปรุงการทำงานของหน้าจอ Galaxy Fold เล็กน้อย เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนวันจำหน่ายจริงในวันที่ 26 เมษายนนี้
ในส่วนของการแย่งชิงตำแหน่งสมาร์ตโฟนยอดขายอันดับ 1 หัวเว่ยอาจจะต้องทำงานหนักหน่อย เพราะปีที่ผ่านมา หัวเว่ยมียอดขายอยู่ที่ 206 ล้านเครื่อง ตามหลังซัมซุงที่มียอดขายอยู่ที่ 293 ล้านเครื่อง อยู่ถึง 87 ล้านเครื่อง แต่หัวเว่ยก็มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว ทำให้ช่องว่างระหว่างหัวเว่ยและซัมซุงแคบลงในทุกปี แต่จะแซงซัมซุงได้ภายในปีหน้าตามที่ประกาศไว้หรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไป
ไอโฟนยังเป็นสมาร์ตโฟนอันดับ 1 ของวัยรุ่น
ส่วนไอโฟนของแอปเปิล ที่ปีที่ผ่านมาทำยอดขายได้ไม่ดีเท่าไร เป็นเพราะราคาที่แพงเกินไป และไม่มีนวัตกรรมใหม่ออกมาดึงดูดลูกค้า แต่ดูเหมือนว่าไอโฟนก็ยังคงมีกลุ่มแฟนที่เหนียวแน่น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งผลสำรวจจาก ไปเปอร์ แจฟฟรีย์ บริษัทวิเคราะห์หลักทรัพย์ชื่อดัง แสดงให้เห็นว่าไอโฟนยังคงเป็นสมาร์ตโฟนยอดนิยมอันดับ 1 ในกลุ่มวัยรุ่นอเมริกัน โดยผลสำรวจได้เลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นอเมริกันจำนวน 8,000 คน อายุเฉลี่ย 16.3 ปี พบว่า 83 % ของกลุ่มตัวอย่าง ใช้ไอโฟนอยู่ และ 86 % ตั้งใจจะซื้อไอโฟนเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องต่อไป
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแแสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นอเมริกันมีแนวโน้มจะใช้ไอโฟนมากขึ้น เนื่องจากผลสำรวจเมื่อปี 2016 ชี้ว่ามีวัยรุ่น 75 % ที่วางแผนจะซื้อไอโฟน แต่ในปีนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 86 % ซึ่งการที่ไอโฟนครองใจวัยรุ่นได้ นับเป็นสัญญาณที่ดี เพราะเมื่อคนกลุ่มนี้คุ้นเคยกับระบบการใช้งานของไอโฟน ก็มีแนวโน้มจะใช้ไอโฟนต่อไปเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้แอปเปิลขายอุปกรณ์เสริม อย่าง Apple Watch หรือ AirPods ควบคู่กันไปด้วย
สมาร์ตโฟนพับหน้าจอเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม
แม้ว่าในปีนี้สมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้กำลังถูกจับตามองว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจสมาร์ตโฟน แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญจากการ์ตเนอร์ บริษัทวิจัยด้านการตลาดที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐฯ มองว่าสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้จะเป็นสินค้าที่มีผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้ามาครอบครองส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการ์ตเนอร์คาดการณ์ว่าสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้จะขายได้ประมาณ 30 ล้านเครื่องในปี 2023 คิดเป็นสัดส่วนยอดขายสมาร์ตโฟนทั้งหมดเพียง 5 %
สาเหตุหลักที่ทำให้สมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม คือราคา ที่ตอนนี้มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ประมาณ 2,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 60,000 กว่าบาท ที่แพงเกินไปสำหรับคนทั่วไป หรือแม้แต่ผู้ที่ชื่นชอบการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ก็คงลังเลที่จะต้องจ่ายเงินมากขนาดนี้ แม้ราคาน่าจะลดลงเรื่อย ๆ แต่การ์ตเนอร์มองว่าสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้จะยังคงเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มไปอีกอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่คนทั่วไปจะเริ่มเข้าถึง