อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เตือนด้วยว่า ผลกระทบจากความล้มเหลวของธนาคาร อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมเพื่อให้ราคาในตลาดมีเสถียรภาพ
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้นำไปสู่ความตึงเครียดในระบบธนาคาร โดยมีธนาคารในสหรัฐฯ 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารซิลิคอนวอลลีย์ และธนาคารซิกเนเจอร์ ประสบภาวะล้มละลายในเดือนนี้ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าของพันธบัตรที่ถือโดยธนาคาร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อาจทำให้พันธบัตรเหล่านั้นมีค่าน้อยลง
ธนาคารต่างๆ มีแนวโน้มที่จะถือตราสารหนี้ขนาดใหญ่ และผลที่ตามมา คือ การขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การลดลงของมูลค่าพันธบัตรที่ถือโดยธนาคาร ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นปัญหา เว้นแต่ว่าธนาคารจะถูกบังคับให้ขายพันธบัตร
เจ้าหน้าที่ภาคการเงินทั่วโลกกล่าวว่า พวกเขาไม่คิดว่าความล้มเหลวของธนาคารในสหรัฐฯ จะคุกคามเสถียรภาพทางการเงินในวงกว้าง และจำเป็นต้องหันเหความสนใจออกจากความพยายาม ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยในสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางยุโรปได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลัก 0.5% ด้วยเช่นกัน
ธนาคารกลางอังกฤษยังมีกำหนดการในการพิจารณา เรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ (23 มี.ค.) หนึ่งวันหลังจากตัวเลขอย่างเป็นทางการ ที่แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือน ก.พ. ปรับตัวขึ้นมาเป็นกว่า 10.4%
เจอโรม เพาเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ โดยเขาอธิบายว่าการล้มลงของธนาคารซิลิคอนวอลลีย์เป็น "กรณีผิดปกติ" ในระบบการเงินที่แข็งแกร่ง แต่เขายอมรับว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มีแนวโน้มที่จะฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบทั้งหมดยังคงไม่ชัดเจน
การคาดการณ์ที่ออกโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า พวกเขาคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 0.4% ในปีนี้และ 1.2% ในปี 2567 ซึ่งเป็นการชะลอตัวอย่างมากจากปกติ และน้อยกว่าที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ไว้ในเดือน ธ.ค. โดยการประกาศจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังทำให้ถ้อยแถลงก่อนหน้านี้กระชับลง หลังจากพวกเขากล่าวว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย "ต่อเนื่อง" เป็นสิ่งจำเป็นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ที่มา: