ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 25 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าสถานกักกัน (Quarantine Facilities) ประกอบด้วย คูเวต 2 ราย, สวิตเซอร์แลนด์ 6 ราย, เมียนมา 7 ราย, รัสเซีย 1 ราย, สวีเดน 1 ราย, สิงคโปร์ 1 ราย, ตุรกี 2 ราย, สหรัฐอเมริกา 2 ราย และ เกาหลีใต้ 3 ราย โดยใน 25 รายนี้ เป็นคนไทย 16 ราย ทั้งหมดเข้าพัก Local Quarantine, State Quarantine, Alternative State Quarantine, Alternative Hospital Quarantine
สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศ ล่าสุดอยู่ที่ 4,151 ราย แบ่งเป็น ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 2,461 ราย และผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,690 ราย ส่วนผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มอีก 6 ราย รวมเป็น 3,880 ราย ยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 211 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโควิด-19 จากกรณี จ.ท่าขี้เหล็ก ขณะนี้มีจำนวน 46 ราย แบ่งเป็น เข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ 17 ราย เข้าทางจุดผ่านแดนและเข้าระบบกักกัน 27 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย แบ่งตามรายจังหวัด ได้แก่ เชียงราย 34 ราย เชียงใหม่ 5 ราย กทม. 3 ราย พิจิตร พะเยา ราชบุรี และสิงห์บุรี จังหวัดละ 1 ราย จากการตรวจกลุ่มเสี่ยงสูงของกรณีผู้ติดเชื้อจากท่าขี้เหล็กรวม 1,469 ราย พบการติดเชื้อเพียง 3 ราย แปลว่าแม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง แต่จากการตรวจคัดกรองโรคที่รวดเร็ว ทำให้มีโอกาสพบผู้ติดเชื้อในเปอร์เซ็นต์น้อยมาก ปัจจุบันพบอัตราการติดเชื้อของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่างจากช่วงแรกของการระบาดที่พบประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ขณะนี้สถานการณ์ของผู้ป่วยจากท่าขี้เหล็กอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ประชาชนสามารถไปท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว แต่ขอให้คงมาตรการป้องกันโรค ด้วยการสวมหน้ากากอย่างถูกต้องโดยต้องครอบทั้งจมูกและปาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และสแกนไทยชนะ รวมถึงขอให้ช่วยสอดส่อง หากพบคนเดินทางมาจากต่างประเทศ ทั้งคนไทยและคนต่างด้าว ไม่ผ่านกักตัว 14 วัน ให้แจ้งภาครัฐทันที
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า การสอบสวนโรคกรณีหญิงไทยอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี มีผู้สัมผัส 55 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 37 ราย ทั้งหมดผลไม่พบเชื้อ สำหรับโอกาสการติดเชื้อสามารถอธิบายจากข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่ได้ คือ การอยู่ในสถานที่ที่ผู้ป่วยรายก่อนหน้ามีโอกาสแพร่เชื้อ เนื่องจากผู้ป่วยราย จ.พิจิตรและ กทม.สวมหน้ากากไม่ถูกต้อง ขณะอยู่ที่บริเวณพื้นที่รอขึ้นเครื่อง จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า บางช่วงหน้ากากตกลงมาอยู่ใต้จมูก บางช่วงตกลงมาใต้คาง แต่หญิงสิงห์บุรีมีการสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นถอดหน้ากากสั้นๆ ไม่กี่วินาทีเพื่อตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าไปข้างใน ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก แต่มีภาพบางมุมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น ห้องน้ำ สถานที่อื่นๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานได้เพิ่มการทำความสะอาด เพิ่มการแจ้งเตือนประชาชนทุก 15 นาทีในการสวมหน้ากาก จัดที่นั่งโดยเว้นระยะห่างให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น มีเจลแอลอฮอล์อย่างเพียงพอ ตรวจวัดไข้สอบถามอาการผู้โดยสารมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยไปปะปนกับผู้โดยสารอื่น นอกจากนี้ ขอให้ทุกสายการบินยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากบนเครื่องบินตลอดเวลา งดการเสิร์ฟอาหาร และให้ผู้โดยสารลุกออกจากเครื่องครั้งละ 5 แถว เพื่อความเป็นระเบียบและลดโอกาสการอยู่ใกล้ชิดกัน ป้องกันการแพร่เชื้อ
นพ.โสภณกล่าวว่า สำหรับกรณีการติดเชื้อภายในประเทศของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนด (ASQ) จำนวน 5 ราย จากการสอบสวนพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 4 น่าจะมีโอกาสได้รับเชื้อก่อนคนอื่น เนื่องจากมีอาการป่วยก่อน คือ วันที่ 29 พ.ย. มีอาการเล็กน้อย คือ น้ำมูก คัดจมูก และเสมหะ คล้ายไข้หวัด โดยวันที่ 24-27 พ.ย. ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ใน ASQ เข้าไปวัดไข้ผู้เข้ากักกัน ซึ่งเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก 3 คน แต่ขณะนั้นยังไม่ทราบว่าผู้เข้ากักกันติดเชื้อ ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดและมีความเสี่ยงในการรับเชื้อ หลังจากนั้นไปสัมผัสกับเพื่อนร่วมงานช่วงนอกเวลางานอีก 2 ราย คือ รายที่ 1 และ 2 โดยไปรับประทานอาหารและพักอยู่ด้วยกัน ส่วนรายที่ 3 มีประวัติสัมผัสกับรายที่ 1 และรายที่ 5 ไม่มีอาการ แต่มีประวัติสัมผัสกับรายที่ 1 และ 2
สำหรับกลุ่มผู้ติดเชื้อที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ทั้ง 5 ราย อยู่ในการดูแลของแพทย์ และสามารถควบคุมโรคได้ นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสทั้งหมด 280 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 ราย (โรงพยาบาลเอกชน 31 ราย เพื่อนร่วมหอพัก 6 ราย ห้องสัมภาษณ์งานโรงพยาบาลรัฐ 7 ราย และครอบครัว 7 ราย) และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 229 ราย (โรงพยาบาลเอกชน 195 ราย ASQ แห่งที่ 1 จำนวน 14 ราย และ ASQ แห่งที่ 2 จำนวน 20 ราย) ทั้งหมดตรวจไม่พบเชื้อ และยังมีการตรวจบุคลากรของโรงพยาบาลแผนกอื่นๆ อีก 465 คน ก็ไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti FakeNews Center) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการโพสต์ข้อความทางสื่อออนไลน์ ว่า พื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ก่อนปีใหม่จะมีการปิดเมือง ทางชายแดนมีคนหนีตายเข้ามาจำนวนมากนั้น มีการตรวจสอบกับทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ชี้แจงว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีการล็อกดาวน์ หรือปิดเมืองที่ไหน จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่หลงเชื่อข้อความดังกล่าว ให้รับฟังข้อมูลข่าวสารจากทางภาครัฐเท่านั้น และที่สำคัญขอให้ประชาชนป้องกันตนเอง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งคัดและต่อเนื่อง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความแออัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น
ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากกรมควบคุมโรค หรือหมายเลข 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :