ไม่พบผลการค้นหา
‘ชูวิทย์’ แจ้งความ สน.พญาไท หลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ข่มขู่ - โชว์อาวุธปืน ขณะรณรงค์ต้านกัญชาเสรีตามหลังรถแห่พรรคภูมิใจไทย ยัน ไม่ใช่การจัดฉาก

วันนี้ (13 พ.ค. 2566) เวลา 12:00 น. ที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางเข้าพบพล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พร้อมด้วย พล.ต.อ.เอกรัตน์ เปาอินทร์ รองผบก.น.1 และ พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผกก.สน.พญาไท เพื่อให้การ และลงบันทึกประจำวัน ภายหลังจากถูกชายฉกรรจ์ขับขี่รถจักรยานยนต์ขวางข่มขู่ และโชว์อาวุธปืนระหว่างการทำกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีตามขบวนรถแห่ของพรรคภูมิใจไทย

ชูวิทย์ S__45473796.jpg

.

ชูวิทย์ อ้างว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ใช้รถจักรยานยนต์ไม่คิดแผ่นป้ายทะเบียนขวางเส้นทางรถของตนเอง และประชาชนที่สัญจรในตอนนั้น ตนจึงให้ทีมงานเข้าเจรจากับกลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยขอให้แยกย้ายย้ายกันไปเพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ และบริเวณดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะใจกลางเมือง แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินไม่ยอมและถกชายเสื้อขึ้น โดยทีมงานอ้างว่ามีอาวุธปืนพกติดตัวมาด้วย จึงเกิดความตกใจ จึงกลับบอกกับตน ตนจึง ให้ทีมงานยกมือไหว้ขอโทษและบอกว่า เราไม่มีเจตนาที่จะมาทำร้าย และตั้งคำถามว่าเป็นพรรคการเมือง แต่ทำไมถึงใช้วิธีการแบบนี้ จึงนำเรื่องมาแจ้งความต่อสน.พญาไทไว้เป็นหลักฐาน

.

ชูวิทย์ S__45473808.jpg


จากนั้น ชูวิทย์ได้เปิดเผยภาพหลักฐานต่อเต้าหน้าที่ตำรวจ และสื่อมวลชนพร้อมระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ซึ่งหากพรรคภูมิใจไทยจะแห่หาเสียงก็ทำไป ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาปิดกั้น เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะ การที่ไม่ให้รถผ่าน และข่มขู่แสดงอาวุธก็หมายความว่า เป็นพรรคที่ใช้อิทธิพล หรือระบบนักเลง และมองว่าไม่ควรใช้วิธีการนักเลงแบบนี้ในใจกลางกรุง

.

ชูวิทย์ ยืนยันว่า ตนเองมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ 2 คน รวมถึงในพื้นที่ก็มีกล้องวงจรปิด ซึ่งตำรวจสามารถไปตรวจสอบได้ และยังมีภาพจากผู้สื่อข่าวที่ไปถ่ายทอดสดอีกด้วย โดยตนขอเตือนไปถึงอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าหากจะเข้ามาปักหลักตั้งเสาในกรุงเทพฯ แต่ยังใช้อิทธิพลแบบนี้ คนกรุงเทพฯ เขาไม่ชอบ และเขาก็คงจะต้องพิจารณาเอากันได้ว่าควรหรือไม่

.

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าไม่ใช่ทีมงานของพรรค ชูวิทย์ กล่าวว่า กลุ่มคนดังกล่าวใส่เสื้อสีเดียวกันหมด แล้วหากไม่ใช่ทีมงานจะกั้นรถให้กับพรรคได้อย่างไร ซึ่งทีมงานอ้างว่า บางคนสวมเสื้อที่มีโลโก้ของพรรคภูมิใจไทย และยืนยันว่าที่มาลงบันทึกประจำวันเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การจัดฉาก

.

“บางอย่างเราสามารถที่จะเห็นต่างได้ แต่บางอย่างมันเป็นข้อเท็จจริง ก็เหมือนกับคนบางคนชอบพูดว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว มันดูจากกล้องวงจรปิดได้ ไม่ใช่ว่าผมสร้างเรื่อง ถ้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีกล้องก็อาจจะไม่มีหลักฐาน แต่นี่มีกล้องอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ก็ต้องดูกล้องเอาจะได้เห็นพฤติการณ์ของพรรคการเมืองนักเลงแบบนี้” ชูวิทย์กล่าว

.

ชูวิทย์ กล่าวอีกว่า มาลงบันทึกประจำวันครั้งนี้ไว้เป็นหลักฐานเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี และตนมองว่าทางที่ดีคือการยุบพรรคภูมิใจไทย เพราะใช้วิธีการดังกล่าวในการหาเสียง

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่หากพรรคภูมิใจไทยจะแจ้งความดำเนินคดีกลับ ชูวิทย์ กล่าวว่า จะแจ้งความกลับตนเองได้อย่างไร เพราะตนเป็นผู้เสียหาย ไม่มีอาวุธ และมาทำกิจกรรมด้วยสันติวิธี แต่พรรคกลับใช้วิธีการแบบนี้ตั้งแต่เมื่อวานที่หลีกเลี่ยงการปะทะ

.

“หลายครั้งแล้วนะที่ผมเจอแบบนี้ แต่ครั้งนี้มันมากเกินไป คุณเล่นเอาปืนมาโชว์เลย และมาบล็อคถนน รถแห่หาเสียงของคุณมีอภิสิทธิ์มากที่จะต้องไปก่อนคนอื่นหรือไม่ คุณหาเสียงรถติดก็ต้องจอดรอ หรือไปแบบปกติไม่ใช่เอามอไซค์มาปิด นี่แสดงว่าคุณไม่รู้จักคนกรุงเทพฯ คิดว่าจะมาเป็น ส.ส.ของคนกรุงเทพฯ แต่ยิ่งทำแบบนี้คะแนนยิ่งตก” ชูวิทย์กล่าวทิ้งท้าย