นายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นได้แถลงขอบคุณประชาชนที่ช่วยกันหยุดโควิด-19 ไม่ให้ระบาดไปเกินการควบคุมในขณะที่ประกาศว่าจะบรรเทามาตรการล็อกดาวน์ โดยนิวซีแลนด์เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับเสียงชมจากการตอบสนองที่รวดเร็วและเข้มงวด และจะเริ่มคลายการล็อกดาวน์จากระดับ 4 เป็นระดับ 3 ในสัปดาห์หน้า
นิวซีแลนด์มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน โดยจนถึงตอนนี้พบผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ 1,440 ราย และมีผู้เสียชีวิต 12 ราย โดยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ดำเนินมาตรการกักตัวเองที่รวดเร็วและเข้มงวดที่สุดในโลก เมื่อช่วงกลางเดือนมี.ค. รัฐบาลนิวซีแลนด์ประกาศให้ผู้ที่เดินทางมาถึงประเทศทุกคนต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ก่อนที่ในอีก 1 สัปดาห์ต่อมาจะนำไปสู่การล็อกดาวน์ทั่วประเทศในขณะที่ตอนนั้นมีผู้ติดเชื้อ 150 รายและยังไม่มีผู้เสียชีวิต
สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่าแม้รัฐบาลนิวซีแลนด์จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง แต่ก็มีคนอีกส่วนที่มองว่านิวซีแลนด์ก็ได้กลายเป็นต้นแบบการรับมือวิกฤตโควิด-19 ด้วยการแสดงความรู้สึกร่วมกับประชาชน มีความชัดเจน และเชื่อถือในข้อมูลวิทยาศาสตร์
สุขภาพมาก่อนเศรษฐกิจ
แม้นิวซีแลนด์จะเป็นประเทศขนาดเล็ก มีประชากรน้อยกว่านครนิวยอร์ก รวมถึงอยู่ห่างไกลและมีพรมแดนที่สามารถควบคุมได้ง่ายซึ่งถือเป็นจุดแข็งเมื่อเกิดการระบาดของไวรัส แต่บีบีซีระบุว่าความสำเร็จของนิวซีแลนด์ที่สามารถเป็นหนึ่งในประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อต่ำที่สุดในโลกเมื่อเทียบต่อประชากร ส่วนสำคัญมาจากความชัดเจนของการสื่อสารที่มาจากรัฐบาล
ในขณะที่หลายประเทศได้ประกาศทำ “สงครามกับโควิด-19” สารจากรัฐบาลนิวซีแลนด์คือขอให้ประชาชน “เป็นหนึ่งเดียวกันต้านโควิด-19” นายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นเรียกนิวซีแลนด์ว่าเป็น “ทีม 5 ล้านคนของเรา” ซึ่ง 'ศาสตราจารย์ไมเคิล เบเกอร์' อาจารย์จากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยโอทาโก ซึ่งช่วยให้คำแนะนำรัฐบาลนิวซีแลนด์ในการรับมือกับไวรัสระบุว่า นายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นเป็นนักสื่อสารที่หลักแหลมและเป็นผู้นำที่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่เธอพูดก็มีเหตุผลด้วย นี่ทำให้ประชาชนเชื่อถือ การให้ความร่วมมือของประชาชนจึงมีค่อนข้างสูง
โดยศาสตราจารย์เบเกอร์ยังระบุว่าในการรับมือกับการระบาดรุนแรงของโรคอย่างมีประสิทธิภาพนั้น “วิทยาศาสตร์และภาวะผู้นำจำเป็นต้องไปด้วยกัน”
ในนิวซีแลนด์ ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ถูกส่งผ่าน 'แอชลีย์ บลูมฟิลด์' อธิบดีกรมสุขภาพของนิวซีแลนด์ ซึ่งมักยืนอยู่ข้างนายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นเมื่อมีการแถลงข่าวประจำวัน โดย 'ซาราห์ ร็อบสัน' นักข่าวอาวุโสของเรดิโอ นิวซีแลนด์ระบุว่า ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น นายบลูมฟิลด์สื่อสารอย่างระมัดระวังและใจเย็นในหลายประเทศซับซ้อนเกี่ยวกับโควิด-19 ซึ่งปูทางไปสู่การติดสินใจของรัฐบาล และด้วยการที่เขาสื่อสารอย่างชัดเจนถึงแนวโน้มที่นิวซีแลนด์มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อนายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นประกาศเตรียมล็อกดาวน์ประชาชนจึงเข้าใจเหตุผล
ขณะที่ 'ชอน เฮนดี' อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ระบุว่า ความสัมพันธ์ในการทำงานที่แข็งแกร่งร่วมกับชุมชนวิทยาศาสตร์เป็นประโยชน์กับนิวซีแลนด์เมื่อเทียบกับประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นกับแวดวงวิทยาศาสตร์ของตัวเองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนี่ดูเหมือนจะนำไปสู่ระบบคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่ามาก เมื่อนักวิทยาศาสตร์รู้สึกว่าพวกเขามีอิทธิพลน้อยและมีแนวโน้มว่าจะถูกละเลย
ผู้นำที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอในยามวิกฤต
สไตล์การเป็นผู้นำที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอของนายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ฉายชัดอีกครั้งในวิกฤตนี้ หลังจากเคยได้รับความสนใจจากทั่วโลกมาแล้วในช่วงเหตุกราดยิงในเมืองไครสต์เชิร์ช โดยหลังประกาศล็อกดาวน์ผู้นำนิวซีแลนด์ได้ไลฟ์เฟซบุ๊ค บอกว่าเธอต้อง “เช็กอินร่วมกับทุกคน” ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมกักตัว โดยผู้นำนิวซีแลนด์มักสื่อสารผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์อยู่เสมอ โดยปรากฏตัวในชุดง่ายๆ หน้าตายิ้มแย้มและแบ่งปันเรื่องราวชีวิตส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่เคยทำเหมือนว่าสถานการณ์นี้ไม่จริงจังเมื่อเธอตอบคำถามประชาชน ขณะที่ทุกการตัดสินใจจะถูกสื่อสารออกมาพร้อมความเห็นอกเห็นใจ รับรู้ว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับประชาชน แต่ก็มีความแน่วแน่และชัดเจนว่าอะไรที่สามารถทำได้ และอะไรบ้างที่ไม่สามารถทำได้
เมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นยังได้ประกาศว่าตัวเองและคณะรัฐมนตรี รวมถึงผู้บริหารหน่วยงานบริการสาธารณะจะตัดเงินเดือนตัวเองร้อยละ 20 เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนชาวนิวซีแลนด์ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
รัฐบาลนิวซีแลนด์ก็ถูกตั้งคำถามและวิจารณ์เช่นกัน
ถึงแม้การตอบสนองของรัฐบาลจะได้รับเสียงชื่นชม แต่ก็มีสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งเช่นกันที่วิจารณ์การสรุปสถานการณ์โควิด-19 รายวันว่าให้เวลาสำหรับการถาม-ตอบน้อยเกินไป รวมถึงยังเรียกร้องขอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล 'ไมเคิล มอร์ราห์' นักข่าวเชิงสืบสวนของสถานีข่าวนิวส์ฮับเผยว่า บางคำถามที่เขาส่งอีเมลไปยังทีมสื่อสารของกระทรวงสาธารณสุขไม่มีคำตอบ ขณะที่อีกหลายคำถามก็ต้องรอหลายวันกว่าจะได้รับการตอบสนองกลับมา
นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิจารณ์เรื่องการขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการการติดเชื้อเป็นกลุ่มใหญ่บางกลุ่ม โดยเฉพาะที่มาของกรณีเหล่านี้ ทำให้นิวซีแลนด์มีผู้ติดเชื้อกว่า 230 รายที่ไม่สามารถระบุถึงแหล่งที่มาได้ ซึ่งผู้สังเกตการณ์มองว่านี่สะท้อนให้เห็นถึงระบบติดตามผู้สัมผัสเชื้อที่อ่อนแอ ทั้งที่หลายฝ่ายมองว่านี่เป็นกระบวนการสำคัญในการควบคุมไวรัส
ทั้งนี้ นิวซีแลนด์จะเริ่มละระดับมาตรการล็อกดาวน์เป็นระดับ 3 เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. ซึ่งจะทำให้มีการเปิดโรงเรียนและธุรกิจบางส่วน รวมถึงคลายกฎการเคลื่อนย้ายลง โดยรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์ว่าควรจะคลายการล็อกดาวน์อีกหรือไม่ ซึ่งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อตัดสินใจในประเด็นนี้ในวันที่ 11 พ.ค.