นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ไม่ทราบรายละเอียด พรรคพลังประชารัฐทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถไปร่วมเวทีดีเบตกับพรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีความไม่ชัดเจน เพราะนายกรัฐมนตรีทุกพรรคสามารถไปร่วมแสดงวิสัยทัศน์ได้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ผู้สมัคร ไม่ใช่สมาชิกพรรคและไม่ใช่หัวหน้าพรรค จึงเป็นหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย และควรที่จะสอบถามความชัดเจนจาก กกต. เพื่อความสบายใจ หากมีคนร้องเรียนภายหลัง ซึ่งการดีเบตใครๆ อยากดู และหาก กกต.ตอบกลับว่าพล.อ.ประยุทธ์ สามารถร่วมเวทีดีเบตได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะไปร่วมหรือไม่ แต่ในแง่ของประชาชนทั่วไป รวมถึงตน อยากเห็น พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมดีเบต 

ส่วนว่าที่นายกรัฐมนตรีของทุกพรรคการเมืองควรจะรว่มเวทีดีเบตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้จัด ซึ่ง กกต.ก็กำชับเรื่องความเสมอภาคของโอกาส เพราะมีว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่สุดท้ายเอาพล.อ.ประยุทธ์ไปดีเบตกับพรรคการเมืองหลัก 3-4 พรรค ซึ่งไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ทั้งหมดควรถามความชัดเจนจาก กกต.เช่นกัน

ขณะเดียวกัน นายวิษณุ ยังกล่าวว่า ตามกฎหมายเลือกตั้งสถานะของผู้สมัคร ส.ส.และผู้สมัครนายกรัฐมนตรีเทียบเท่ากันไม่ได้ เช่นเดียวกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปดีเบตยังนึกไม่ออกว่าจะพูดนโยบายส่วนตัวกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐอย่างไร เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเวลาพูดอาจตอบในส่วนนโยบายที่เคยทำมา แต่หากพูดเรื่องพรรคเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ขึ้นอยู่กับเทคนิคและศิลปะของคนพูดเพื่อทำให้เข้าใจว่าไม่ใช่นโยบายพรรค แต่หากมีการร้องเรียนศาลรัฐธรรมนูญหลัง กกต.ให้ดีเบตได้จะช่วยได้มาก

เมื่อถามย้ำว่า กฎหมาย กกต.มีอำนาจมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ ใช่หรือไม่ นายวิษณุ ย้ำว่า ความเห็น กกต.จะช่วยได้มาก เว้น กกต.จะตอบออกมาเป็นอย่างอื่น 

ส่วนการดีเบต เรื่องนโยบายที่อาจคาบเกี่ยวกับนโยบายพรรคสามารถพูดได้ถ้าพูดเป็น แต่ถ้าพูดไม่เป็นก็จะอันตราย ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้ถามความเห็นตนเอง หากถามก็จะให้ความเห็น แต่ไม่ขอตอบสื่อว่านายกรัฐมนตรีควรจะไปดีเบตหรือไม่ ส่วนปัญหาเรื่องความเป็นกลาง อยู่ที่วิธีการตอบ หากตอบไม่เป็นก็จะเข้าเนื้อสูญเสียความเป็นกลาง และพูดคำว่าพลังประชารัฐไม่ได้ แต่พูดคำว่าประชารัฐได้ เพราะมีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ