ถึงแม้ว่า โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนจะได้ออกมาประกาศว่า การตอบโต้ของกองทัพยูเครนรอบๆ เมืองคาร์คีฟกำลังผลักดันให้กองทัพรัสเซียถอยร่นกลับไปยังฝั่งตะวันออกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ความสำเร็จของยูเครนดูเหมือนว่าจะถูกจำกัดเอาไว้ที่บริเวณปีกทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ตลอดแนวปะทะ 480 กิโลเมตรของทั้งสองกองทัพ
ลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน บริเวณแนวปะทะภูมิภาคดอนบาส กองทัพรัสเซียระดมยิงปืนใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง และสามารถยึดครองดินแดนบางส่วนของยูเครนได้แล้ว โดยกองกำลังยูเครนประกาศถอยทัพออกจากเมืองโปปัสนาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เซเวโรโดเนตสค์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันออกไกลยังคงเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังยูเครน แต่กำลังถูกกองทัพรัสเซียล้อมรอบเอาไว้ในแทบจะทั้งหมด และส่วนสุดท้ายของภูมิภาคลูฮานสค์ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียนั้น ก็ยังตั้งอยู่ในระยะของปืนใหญ่ของรัสเซียอยู่ดี
ยังมีประชาชนอีกหลายหมื่นรายที่ยังติดอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกและทางตอนใต้ของยูเครน ท่ามกลางการยิงถล่มอย่างหนักของกองทัพรัสเซีย อย่างไรก็ดี ทางการยูเครนยังคงเรียกร้องให้ประชาชนเร่งอพยพออกนอกพื้นที่โดยด้วย ทั้งนี้ ทางการยูเครนอ้างว่าตนได้ยึดครองพื้นที่บริเวณคาร์คีฟกลับมาในการควบคุมของตนเองอีกครั้ง ซึ่งเซเลนสกีกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็น “ข่าวดี”
อย่างไรก็ดี พล.ท.สกอตต์ เบอเรียร์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยต่อคณะกรรมการด้านอาวุธของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า “รัสเซียไม่ชนะ และยูเครนไม่ชนะ และเราอยู่ในจุดที่เป็นทางตัน” การประเมินของสหรัฐฯ เกิดขึ้นในขณะที่กองทัพรัสเซียอ้างว่ากองกำลังของตนสามารถเคลื่อนทัพไปไกลถึงพรมแดนระหว่างภูมิภาคโดเนตสค์และลูฮานสค์ ซึ่งอาจเข้าใกล้กับเป้าหมายในการยึดครองภูมิภาคดอนบาสของยูเครน ถึงแม้รัสเซียจะสูญเสียพื้นที่รอบคาร์คีฟ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยูเครนก็ตาม
ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างพยายามอ้างถึงความสำเร็จของตนที่อาจจะดูเกินจริง โดยการประเมินจากเจ้าหน้าที่กลาโหมและหน่วยข่าวกรองของตะวันตกในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ มักชี้ไปในทางเดียวกันว่าสถานการณ์ดูนิ่งเงียบมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เอวริล เฮนส์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัสเซียจะยังคงไม่สามารถยึดภูมิภาคดอนบาสได้ภายในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ที่จะมาถึงนี้
ในวันพุธที่ผ่านมา (11 พ.ค.) กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรออกมาเปิดเผยว่า ทั้งรัสเซียและยูเครนมีการต่อสู้กันในบริเวณเกาะซมินยี หรือเกาะงูที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยรัสเซียกลับเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้ยูเครนประสบความสำเร็จในการโจมตีทางอากาศใส่กองเรือรัสเซีย ผ่านการจัดทัพเสริมด้วยโดรน รัสเซียพยายามยึดเกาะงูเพื่อส่งกำลังของตนเองขึ้นเกาะ ตามภารกิจการเข้าควบคุมพื้นที่ทะเลดำของยูเครน แต่รัสเซียยังคงประสบกับความยากลำบากต่อการบรรลุยุทธวิธีดังกล่าว
ในทางตอนใต้ที่เมืองมารีอูปอล ยูเครนยังคงมีที่มั่นในโรงงานเหล็กอซอฟสตอลเป็นแห่งสุดท้าย หลังจากรัสเซียสามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ในมารีอูปอลได้ ทั้งนี้ มีภาพทหารของยูเครนที่ได้รับบาดเจ็บในบริเวณโรงงานเหล็กอซอฟสตอลที่กำลังรอการอพยพออกมา รวมถึงประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ท่ามกลางการยิงถล่มจากทางฝั่งรัสเซีย นักวิเคราะห์มองตรงกันว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียกำลังใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะทำให้รัสเซียสามารถยึดพื้นที่เมืองมารีอูปอล เพื่อใช้เป็นสะพานเชื่อมดินแดนทางตอนใต้อย่างไครเมียที่รัสเซียยึดไปจากยูเครนและผนวกเข้าเป็นของตนเองในปี 2557 เข้ากันกับภูมิภาคดอนบาสที่รัสเซียอ้างว่าตนยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ได้แล้ว
ในการให้สัมภาษณ์กับ The Financial Times ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครนระบุว่า ในตอนแรกยูเครนเชื่อว่าชัยชนะจะทำให้กองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากตำแหน่งที่พวกเขาครอบครองก่อนการรุกราน “ในตอนนี้ ถ้าหากเราแข็งแกร่งพอในแนวรบทหาร และเราชนะการต่อสู้เพื่อดอนบาส ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสงคราม แน่นอนว่าชัยชนะสำหรับเราในสงครามครั้งนี้คือการปลดปล่อยดินแดนในส่วนที่เหลือของเรา”
ที่มา:
https://www.ft.com/content/8db0d387-fb41-4142-b78f-6619d36d8be0