การเดินทางมาเยือนกรุงเคียฟของบลิงเคนและออสตินในครั้งนี้ เป็นการเยือนยูเครนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่สงครามการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากเซเลนสกีออกมาประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (23 เม.ย.) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและกลาโหมสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงเคียฟ ในขณะที่ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะให้ข่าวใดๆ จากความกังวลเรื่องความปลอดภัยในก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเสนอผู้ที่จะถูกส่งตัวไปเป็นทูตและเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครนในช่วงสัปดาห์ที่จะถึง หลังจากทูตและเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯ เดินทางออกจากยูเครนนับตั้งแต่ก่อนสงครามเริ่มขึ้น โดยสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเคียฟจะยังคงถูกปิดต่อไปเป็นการชั่วคราว
บลิงเคนและออสตินระบุต่อเซเลนสกีว่า ทางการสหรัฐฯ จะมอบความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ยูเครนเพิ่มอีก โดยจะมีการมอบเงินสนับสนุนด้านการทหารจำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1 แสนล้านบาท) และสหรัฐฯ ได้มีการอนุมัติการขายกระสุนให้แก่ยูเครนมูลค่ากว่าอีก 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.6 พันล้านบาท)
การเดินทางเยือนของสองรัฐมนตรีสหรัฐฯ มายังกรุงเคียฟในครั้งนี้ มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และไม่มีการประกาศตำแหน่งที่สองรัฐมนตรีเดินทาง โดยทางกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวว่าเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เซเลนสกีคาดหวังว่าไบเดนจะเดินทางมาเยือนกรุงเคียฟด้วยตนเอง หากเงื่อนไขด้านความปลอดภัยในอนาคตมีมากพอ
ก่อนการเข้าหารือกันระหว่างสองรัฐมนตรีของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดียูเครน เซเลนสกีได้ออกมาแถลงเรียกร้องไปยังสหรัฐฯ ที่จะมอบความช่วยเหลือแก่ยูเครนเพื่อการป้องกันตนเองจากการรุกรานของรัสเซียเพิ่มอีก “คุณไม่สามารถมาหาเราแบบมือเปล่าได้ในวันนี้ และเราไม่ได้คาดหวังแค่การมาถึงของคุณ หรือเค้กปลอบใจอะไรก็ตาม เราคาดหวังถึงสิ่งที่มีความชัดเจน และอาวุธที่มีความเฉพาะเจาะจง” เซเลนสกีเรียกร้องขอให้สหรัฐฯ รับประกันเรื่องอาวุธและความปลอดภัยของยูเครน
หลังจากการหารือ บลิงเคนได้เดินทางไปยังโปแลนด์ ก่อนที่จะเดินทางกลับมายังกรุงวอชิงตันดีซี ในขณะที่ออสตินจะเดินทางต่อไปยังเยอรมนีเพื่อเข้าหารือกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของชาติอื่นๆ จากสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในวันอังคารที่จะถึงนี้ (26 เม.ย.) ในประเด็นยูเครนต่อ
ที่มา: