วันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม จ.ปทุมธานี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล กล่าวบนเวทีปราศรัยแนะนำแนวนโยบายพรรคก้าวไกล และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จ.ปทุมธานี ครบทั้ง 7 เขต ความตอนหนึ่งว่า วันนี้มาในฐานะผู้ช่วยหาเสียงตามระเบียบ กกต. ที่ระบุว่าผู้ช่วยหาเสียงคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พรรคตั้งให้เป็นผู้ช่วยหาเสียง ดังนั้น พวกนักร้องทั้งหลายอย่าเพิ่งรีบ มีบรรทัดฐานมาแล้วตั้งแต่ปี 2562 ว่าตนเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ และตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่สามารถสั่ง ครอบงำ ควบคุม หรือชี้นำพรรค ตนเป็นกองเชียร์ไม่ได้เป็นโค้ช ดังนั้น ไม่ต้องมาตามจับผิด
ปิยบุตร กล่าวว่า การเลือกตั้งกำลังจะมีในเดือนพฤษภาคม เป็นเดือนแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยปีนี้จะครบ 9 ปีการรัฐประหารโดย คสช. คนไทยทั้งประเทศต้องใช้โอกาสนี้ แสดงพลังว่าเราไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารรวมถึงผลพวงของการรัฐประหาร พรรคก้าวไกลประกาศนโยบายการเมืองไว้ชัดเจน ว่าจะเข้าไปจัดการลบล้างผลพวงรัฐประหาร 2557 ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกบรรดาประกาศคำสั่งของ คสช. ที่จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ทำให้การนิรโทษกรรมการรัฐประหารเป็นโมฆะ ทำให้การรัฐประหารยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เอาคณะรัฐประหารมาดำเนินคดีฐานกบฏ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความแค้นส่วนตัว แต่เป็นหลักสากลว่าใครทำผิดต้องได้รับโทษ ถ้าทำได้แบบนี้ต่อไปทหารจะไม่กล้ารัฐประหาร
“ถ้าเราปล่อยให้เขารัฐประหารเสร็จแล้วนิรโทษกรรมตัวเอง อยู่ๆ กันไปบอกว่านี่คือการปรองดอง กลับมารักกันใหม่ เดี๋ยววันหน้าทหารรุ่นน้องก็เอาอย่าง กลับมายึดอำนาจอีก ดังนั้นต้องเอาทหารที่ยึดอำนาจมาดำเนินคดีลงโทษ แล้ววันนั้นประเทศไทยจะจบสิ้นเรื่องการรัฐประหารเสียที” ปิยบุตรกล่าว
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า ผลพวงรัฐประหารยังมีหลายเรื่อง เช่น ต้องปฏิรูปกองทัพ เอาทหารมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ให้ ผบ.เหล่าทัพ ออกมาพูดเจื้อยแจ้วเรื่องการเมืองได้ทุกวัน ไม่ใช่ต้องมาลุ้นว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่ ต่อไปนี้รัฐบาลพลเรือนต้องมีอำนาจเต็มในการแต่งตั้งผู้บังคับบัญชากองทัพด้วย ไม่จำเป็นต้องผ่านสภากลาโหม ให้รัฐบาลมีอำนาจแต่งตั้ง ไม่ต่างจากการแต่งตั้งอธิบดีหรือปลัดกระทรวงอื่นๆ
เดือนหน้าคือเดือนเมษายน จะมีการเกณฑ์ทหาร การดูว่าคนไทยคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ดูไม่ยาก ผู้ชายคนหนึ่งหยิบได้ใบดำ กระโดดโลดเต้นดีใจ อีกคนจับได้ใบแดง เข่าทรุดลงไปกองกับพื้น แสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่อยากเป็นทหาร พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรก สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ ประกาศชัดเจนว่าจะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ใครอยากเป็นก็ไปสมัคร มีสวัสดิการ ค่าตอบแทนที่ดี ไม่ใช่ไปซักกางเกงใน เลี้ยงไก่ ล้างรถนายพล ใครที่ไม่อยากเป็นก็ไปทำอาชีพอื่น เวลาของทุกคนมีค่า เขาทำงานมีรายได้เสียภาษี ก็เป็นพลเมืองดีของประเทศเหมือนกัน
เรื่องปฏิรูปกองทัพ ยังต้องเอาทรัพยากรที่ดินและทรัพย์สินของกองทัพมากระจายใหม่ กองทัพต้องทำงานเรื่องความมั่นคง การปกป้องรักษาอาณาเขต แต่ตอนนี้กลับใช้ที่ดินมาทำสนามกอล์ฟ ให้คนอื่นเช่าที่ดิน นี่ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพ แถมได้เงินแล้วก็เก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ได้เข้าส่วนกลาง พรรคก้าวไกลประกาศแล้วว่าจะเข้าไปจัดการเรื่องนี้
นอกจากนี้คือนโยบายปฏิรูปศาลและกระบวนการยุติธรรม เพราะรัฐประหารเกิดขึ้นได้ เพราะมีพันธมิตรคู่หูคือศาลที่คอยเคลียร์ให้ว่าสิ่งที่กองทัพทำนั้นถูกต้องตามกฎหมายตลอดกาล เกือบ 10 ปีมานี้ประชาชนอยากใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง แต่เอะอะก็ถูกลากเข้าคุก เยาวชนของเราออกมาชุมนุม ถูกจับกุม ทั้งที่เขามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะได้รับการประกันตัว แต่กลับเอาอนาคตของชาติไปขังอยู่ในคุกเต็มไปหมด ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดได้รับการประกันตัว ได้รับการถอนหมายจับ พรรคก้าวไกลประกาศปฏิรูปทั้งวงจร ตำรวจ อัยการ ศาล
ส่วนองค์กรอิสระ ก็เป็นผลิตผลจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มาจาก สนช. และ ส.ว. ที่ประยุทธ์แต่งตั้ง แล้วจะให้เราเชื่อในความเป็นกลางและความเป็นอิสระได้อย่างไร พรรคก้าวไกลเขาเสนอว่าจะเข้าไปแก้ไขที่มาขององค์กรอิสระ จะได้มีองค์กรที่ตรวจสอบทุกฝ่ายอย่างเสมอหน้าเท่าเทียม
ปิยบุตรกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องจัดการต้นตอคือรัฐธรรมนูญ 2560 ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เขาจะใช้อำนาจคณะรัฐมนตรี จัดให้มีการออกเสียงประชามติ ถามประชาชนว่าจะยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 และทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
นอกจากนี้ ตั้งแต่มีการยึดอำนาจ ดัชนีด้านสิทธิมนุษยชนของเราตกต่ำ พรรคก้าวไกลประกาศแล้วว่าถ้าเป็นรัฐบาล จะนิรโทษกรรมเหยื่อที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ย้ำว่าเป็นการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องคอร์รัปชัน เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายที่เห็นต่างกันกลับมามีชีวิตปกติ ทุกคนมีเสรีภาพในการพูดและรณรงค์ อีกทั้งที่ผ่านมา เวลามีการชุมนุมของประชาชน ก็จะมีการขนอาวุธออกมาปราบปรามสลายการชุมนุม ระบบกฎหมายในประเทศไม่เอื้อในการเอาคนผิดมาลงโทษ พรรคก้าวไกลจึงยืนยันอย่างกล้าหาญว่าถ้าเป็นรัฐบาลจะให้สัตยาบันกับธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศทันที ไม่กลัวเกรง ไม่มีอ้างว่าทำไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้
ปิยบุตรกล่าวต่อว่า อีกไม่กี่เดือนจะถึงการเลือกตั้ง เราควรคุยกันว่าพรรคไหนมีนโยบายอะไร พรรคไหนเสนอใครเป็นนายกฯ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แต่ทุกวันนี้ข่าวสารการเมืองไทยมีแต่เรื่องดึงดูดกวาดต้อน ส.ส. เข้าพรรค
“ไม่มีละอายเลยหรือ ไม่เลือกพันธุ์ไม่เลือกประเภทเลยหรือ ขออย่างเดียวเป็น ส.ส. กวาดมาให้หมด เอาปริมาณไปก่อนคุณภาพไว้ทีหลัง เพราะต้องการจำนวนเยอะๆ จะได้เป็นรัฐบาล แต่สำหรับพรรคก้าวไกล จิตวิญญาณของเราตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ เราพยายามคัดสรรบุคคลที่มีความคิดอุดมการณ์เดียวกันมารวมกัน ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเข้าไปมีอำนาจรัฐ เอาอำนาจรัฐมาเปลี่ยนแปลงประเทศ” ปิยบุตรกล่าว
ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ต้องน้อมรับความผิดพลาด ที่ผ่านมาอดีตพรรคอนาคตใหม่ มี ส.ส.บางคนย้ายพรรคไปเช่นเดียวกับบางเขตในปทุมธานี แต่ครั้งนี้เชื่อมั่นได้เลยว่า ชลธิชา แจ้งเร็ว เขตเลือกตั้งที่สาม อำเภอคลองหลวง พรรคก้าวไกลคัดมาอย่างดี ไม่มีทางเป็นงูเห่าล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะชลธิชาต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้าน คสช. ดูแลผู้ชุมนุมมาตลอด
ปิยบุตรกล่าวด้วยว่า ตอนนี้แต่ละพรรคเข้าสู่ตลาดการเมือง ไปดูว่าใครคะแนนดี ใครเคยเป็น ส.ส. ใครมีทรัพยากรเยอะ มีระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน ก็กวาดต้อนกันมา นี่คือการเมืองแบบเดิมๆ สะสมจำนวน ส.ส. ให้มากๆ ไม่คิดถึงวิธีการหรืออุดมการณ์ เสร็จแล้วได้ไปเป็นรัฐบาล ก็เลือกว่าจะดูกระทรวงอะไร เข้าไปบริหารเป็นรัฐมนตรีสักพัก ก็ดูดซับทรัพยากรเอามาทำทุนการเมืองในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ประเทศไทยเป็นแบบนี้มาหลายทศวรรษ ประชาชนอยากได้แบบนี้ต่อไปหรือไม่
“การเมืองแบบรวบรวมคนมาทำหน้าที่เป็นนักสัมปทานขอแย่งอำนาจรัฐทุกสี่ปี ต้องจบสิ้นเสียที พี่น้องปทุมธานีต้องเลือก ส.ส.พรรคก้าวไกลทั้ง 7 เขต เพราะเราไม่ได้ทำการเมืองแบบที่เขาทำกัน แน่นอนว่าทุกพรรคการเมืองลงเลือกตั้ง ย่อมอยากเป็นรัฐบาล แต่ต้องเป็นอย่างสง่างาม ไม่ใช่คิดถึงจำนวนเยอะๆ แล้วลืมอุดมการณ์ไปหมด ลืมไปเลยว่าคนคนนี้หรือคนกลุ่มนี้ เมื่อก่อนเคยย้ายไปอยู่พรรคไหน ยังโหวตประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ อยู่เลย พอวันนี้คะแนนดูไม่ดี ก็ย้ายมาอยู่อีกข้างหนึ่ง เกิดวันหน้าสภาพอากาศเปลี่ยน ย้ายไปอยู่อีกข้างหนึ่งอีก จะทำอย่างไร การเมืองไทยจะเอาแบบนี้หรือ” ปิยบุตรกล่าว
อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า นี่จึงเป็นที่มาที่เราตั้งพรรคอนาคตใหม่ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกล ประกาศจุดยืนว่าเราเลือกคนจากความคิด ไม่ใช่ปริมาณ และประกาศชัดเจนว่าหากพรรคทหารจำแลงเข้ามาร่วมรัฐบาลหรือเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็เป็นฝ่ายค้านได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลชุดหน้ามีชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ พิธาก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ไม่มีปัญหา แต่ถ้าพี่น้องอยากเห็นพิธาเป็นนายกฯ ก็ต้องเลือกก้าวไกลให้ถล่มทลาย เลือกทั้งสองใบทั่วประเทศ
“ไม่ต้องกังวลการวิเคราะห์ของคนกลุ่มต่างๆ ว่าเราต้องลงคะแนนอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องระวังว่าลงคะแนนแล้วเสียงไม่ตกน้ำ มันง่ายๆ แค่นี้ แค่เลือกก้าวไกลทั้งหมด ทุกเขต ทุกคน ทุกใบ ไม่ตกน้ำแน่นอน และถ้าเราเป็นรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลที่ชัดเจนในจุดยืนประชาธิปไตย” ปิยบุตรกล่าว
ปิยบุตรกล่าวว่า ถ้าต้องการความเปลี่ยนแปลง การเลือกตั้งปี 2566 เป็นหมุดหมายสำคัญ ถ้าอยากมีผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่ได้ครบเครื่อง มีความกล้าหาญ ต้องเลือก ส.ส. พรรคก้าวไกล เพราะพวกเขาไม่มีเงื่อนไขข้อจำกัด ไม่มีมวยล้มต้มคนดู ไม่มีลูบหน้าปะจมูก ผลงานในสภาฯ 4 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้ว
“ส.ส.ก้าวไกลเข้าถึงง่าย ไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ทำตัวเป็นพญาเหยียบเมือง ที่ผ่านมาพี่น้องเคยเห็น ส.ส. ปทุมธานีพูดในสภาฯ บ้างหรือไม่ ถ้าอยากเห็นก็ต้องเลือกก้าวไกลทั้ง 7 คนนี้เข้าสภาฯ เขาจะเป็นผู้แทนของชาวปทุมธานี อภิปรายในสภาฯ และผู้แทนแบบก้าวไกล มีรัฐประหาร มีวิกฤตการณ์การเมืองเมื่อไร จะออกมาเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชน ไม่ใช่ไปพักผ่อนรอเวลากลับมาเลือกตั้ง ” ปิยบุตรกล่าว
ปิยบุตรกล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ผลโพลสำรวจบอกว่าเลือกตั้งครั้งนี้ได้เปลี่ยนขั้วรัฐบาลแน่นอน ตนก็มั่นใจเช่นนั้น แต่เปลี่ยนขั้วรัฐบาลไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศไทย เปลี่ยนการเมืองให้ดีด้วย ถ้าประชาชนอยากเห็นพลังใหม่ อยากเห็นการเมืองดีปากท้องดีมีอนาคต พอกันทีกับการเมืองแบบเดิมๆ แบบกวาดต้อน ส.ส. เข้าพรรค ปรองดองแบบจอมปลอมไม่คิดถึงความยุติธรรมที่แท้จริง การเมืองแบบอำนาจนิยมกดขี่ประชาชน บริหารงบประมาณกระจกอยู่ที่คนไม่กี่คน ถ้าอยากเห็นการเมืองใหม่ ผู้แทนที่ติดดิน ทำงานในพื้นที่อย่างขยันขันแข็งและกล้าหาญต่อต้านอำนาจอยุติธรรมทุกรูปแบบ ต้องสนับสนุน ส.ส. พรรคก้าวไกล เข้าไปยกมือให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย