ไม่พบผลการค้นหา
‘ภูมิธรรม​’ ยินดี​ ‘ยิ่งลักษณ์​’ หลุดคดีโรดโชว์​ มองนโยบายทุกอย่างต้องกล้าทำงานไม่เช่นนั้นผู้ปฏิบัติงานขาดกำลังใจ ปัดตอบ เตรียมกลับไทยหรือไม่​ หวังอยากให้กลับ เหตุเป็นที่รักของทุกคน ย้อนคนตั้งแง่​ ‘2 อดีตนายกฯ ชินวัตร’ กลับไทย​ อคติเกินไปไหม​ ลั่น​ประเทศนี้อยู่ยาก

วันที่ 5 มี.ค. ภูมิธรรม​ เวชยชัย​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์​ กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง​ มีมติยกฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ในข้อกล่าวหาเพื่อประโยชน์การจัดจ้างโรดโชว์ งบ​ 240 ล้าน​ ว่า​ ตนขอแสดงความยินดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี เพราะผลของการตั้งใจจริงในการทำงาน ก็อดทนและสู้คดีและสู้คดี และเรื่องนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้เห็นว่าเป็นการทำนิทรรศการเพื่อให้คนเข้าใจและเผยแพร่นโยบายของรัฐบาลในเรื่องอนาคต 2020 ฉะนั้นก็จำเป็นจะต้องใช้สื่อต่างๆ ซึ่งตรงนี้มีกระบวนการจัดการที่ถูกต้อง แต่ขณะนี้ทุกๆอย่างก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นความตั้งใจของฝ่ายนโยบายที่จะดำเนินการ 

ทั้งนี้ตนมองว่าก็สามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา แต่ก็ต้องให้กำลังใจและให้โอกาสกับคนทำงานด้วยไม่เช่นนั้น ถ้าทุกอย่างไม่กล้าทำอะไรเลย ปัญหาก็จะไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ถ้ากล้าทำงานจะต้องเจอปัญหาแบบนี้ ซึ่งผู้ทำนโยบายก็พยายามทำทุกอย่างให้รัดกุมที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แต่อย่างไรก็ต้องกล้าคิดกล้าทำ ไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะแก้ไม่ได้ และหากกลัวทั้งหมดปัญหาก็จะสะสม ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ต้องจัดการให้สมดุลพอดี เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานขาดกำลังใจ และก็จะทำให้ประเทศมีปัญหา

เมื่อถามว่า เมื่อคดีจบแล้ว ยิ่งลักษณ์ สามารถเดินทางกลับไทยได้ใช่หรือไม่ ภูมิธรรม​ ปฏิเสธว่าตนไม่สามารถตอบแทน ยิ่งลักษณ์ได้ ว่าอยากกลับมาหรือไม่ หรือยังประสงค์อยู่ต่างประเทศเนื่องจากบุตรชายกำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ​ ฉะนั้นก็แล้วแต่ท่าน 

แต่ถึงอย่างไรตนคิดว่า อดีตนายกฯ​ยิ่งลักษณ์ปัญหาเบาที่สุด เพราะเรื่องต่างๆ อาทิ โครงการรับจำนำข้าว ก็ยังต้องการการพิสูจน์อีกหลายอย่าง เพราะมองว่าไม่ใช่เป็นการทุจริตแต่โดนมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้พูดยากและก็ได้รับการตัดสินจากศาลบางส่วนไปแล้วว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร พร้อมย้ำว่าฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ต้องให้กำลังใจคนทำงาน เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆคนก็จะไม่กล้าคิดอะไรใหม่ๆ พร้อมมองว่าขณะนั้นที่ ยิ่งลักษณ์ คิดโครงการ 2020 เพื่อให้ประชาชนเข้าใจนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เราต้องการจะสื่อสารให้คนไทยคิดไปอีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า

ภูมิธรรม​ ย้ำว่า​ อยากให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ และตนก็อยากให้เดินทางกลับ เพราะหากเดินทางกลับมาได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะประชาชนที่เคยเห็นผลงานก็อยากให้ ยิ่งลักษณ์ กลับมาโดยเร็ว รวมถึงตนก็รอต้อนรับอย่างเต็มที่ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่เคารพรักของทุกคนรวมถึงตนด้วย

เมื่อถามว่า หาก ยิ่งลักษณ์​ เดินทางกลับไทยจะต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนบางกลุ่มหรือไม่ที่มองว่าจะกลับมาในลักษณะคล้ายคลึงกับ ทักษิณ​ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ภูมิธรรม ระบุว่า มาแบบไหนไม่มีใครทราบ อยู่ที่คดีของท่าน ซึ่งนำ ยิ่งลักษณ์ ไปเปรียบเทียบกับ ทักษิณ ไม่ได้ เนื่องจากคดีของยิ่งลักษณ์​ เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาและหลายคดีก็คลี่คลายไป 

พร้อมกับยังมองว่า หลายคดีที่จบไปโดยเฉพาะคดีแพ่ง และบ้านของยิ่งลักษณ์ ก็ถูกยึดแล้ว ซึ่งจะมาจัดการอย่างไรก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ ฉะนั้นขอให้เข้าใจประเด็นเหล่านี้และคืนความเป็นธรรมให้แก่ ยิ่งลักษณ์

เมื่อถามย้ำว่า หากอดีตนายกทั้ง 2 คนกลับมาอยู่ในไทย จะส่งผลอย่างไรต่อสถานการณ์ทางการเมืองและบ้านเมืองอย่างไร ภูมิธรรม​ มองว่า ไม่น่าเกี่ยวกันเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องการคืนความเป็นธรรมให้คน​ เมื่อคนไม่ผิด การจะมาตั้งเงื่อนไขทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะการมาห้ามสิทธิทางพลเมือง เราสามารถเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยได้ พร้อมย้ำว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องคนละเรื่องกับทางการเมือง และหลายเรื่องที่มีการเรียกร้องให้มีการพิสูจน์ก็พิสูจน์เรียบร้อยแล้วตามลำดับ ในเมื่อคดีจบแล้ว​ ก็พิสูจน์ว่าท่านไม่ได้ผิดอะไรและเป็นความเข้าใจ 

ฉะนั้นหากจะไม่ให้โอกาสยิ่งลักษณ์ กลับประเทศ และมาตั้งคำถามว่ากลับมาแล้วมีผลทางการเมือง อย่างไรมันเป็นการไม่ใช่การเริ่มต้นจากจุดที่ถูกต้อง ฉะนั้นมันต้องเริ่มจากจุดที่ว่าท่านได้ได้รับความยุติธรรม และเมื่อไม่ผิดและไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ต้องคืนความยืดยุติธรรมให้ฃยิ่งลักษณ์ แล้วยังจะมีการมาตั้งคำถามอีกหรือ ตนมองว่าอคติมากเกินไปหน่อยไหม ฉะนั้นหากตั้งคำถามว่ามาแล้วจะมีปัญหาก็แย่เหมือนกันนะ เพราะคนจะอยู่ประเทศนี้ก็อยู่ยาก


ขอให้ดูความเป็นจริงปมพื้นที่พิพาท ส.ป.ก.

ภูมิธรรม ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเรื่องที่ดินระหว่าง ส.ป.ก. และ กรมอุทยานแห่งชาติว่า เรื่องนี้ก็สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ เมื่อวานนี้ได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ซึ่งก็ได้แจกสิทธิทำกินให้กับประชาชนในเขตลุ่มน้ำ ตามกฎระเบียบกฎหมาย ประมาณ 8 แสนกว่าไร่ ใน 50 กว่าจังหวัด 

ส่วนเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. ก็เป็นเรื่องเก่าที่ต้องสะสาง เพราะเป็นเรื่องที่มีหน่วยราชการรับผิดชอบหลายหน่วย อีกทั้งมีแผนที่ที่มองไม่ตรงกัน จึงได้แก้ปัญหาในการจัดทำแผนที่ One Map ให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยประมาณ 1-2 วันที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมพูดคุยกัน ซึ่งทุกคนต่างยอมในการที่จะใช้ One Map 1 ต่อ 4,000 ให้เป็นมาตรฐานกลาง 

ทั้งนี้มองว่า ต้องแก้ไขปัญหาแบบยืดหยุ่น และต้องดูความเป็นจริง พร้อมกับยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้ได้ไปดูแหล่งการปลูกกาแฟ ที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีชนเผ่าเมี่ยน เป็นผู้มีสิทธิทำกินในพื้นที่ดังกล่าว และอยู่ประเทศไทยมาแล้วประมาณ 200 ปี แต่พอรัฐบาลประกาศเขตไปทับซ้อนพื้นที่พวกเขา ก็เกิดปัญหา ทำให้ คทช. จึงไปคืนสิทธิให้กับพวกเขาในการทำกิน แต่สินทรัพย์ต้องเป็นสินทรัพย์กลาง พร้อมกับมีเงื่อนไขให้พื้นที่ต้องมีการปลูกต้นไม้ เพื่อจะทำให้พวกเขาอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งก็ไม่อยากใช้คำว่าเป็นอาชญากร หรือเป็นคนที่ทำผิดกฎหมาย เพราะพวกเขาก็อยู่มาก่อนหน้านั้น และรัฐบาลประกาศเขตทับซ้อนพื้นที่เขา จึงต้องคืนสิทธิในการทำกินให้กับพวกเขา ยกเว้นกับคนที่มีสิทธิจริงๆ 

พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องไปเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด อย่าไปอำนวยประโยชน์ให้ใคร ซึ่งใครที่มีปัญหาก็ต้องจัดการกันตามกฏหมาย ไม่มีสิทธิที่จะไปคุ้มครองได้ จึงอยากให้ดูตามความเป็นจริง

ส่วนปัญหาที่ไม่ยอมรับแผนที่ One Map ตอนนี้ก็คิดว่าดีขึ้นแล้ว เพราะที่ประชุม คทช. ได้พูดคุยกับหลายส่วนไม่ว่าจะเป็น ส.ป.ก. เขตอุทยาน, เขตอุทยานชายฝั่ง และกรมที่ดิน ซึ่งตนก็พยายามให้ทุกฝ่ายได้คุยกัน ซึ่งขณะนี้ในคณะกรรมการ คทช. ก็มีความเข้าใจกันมากขึ้น 

ส่วนเรื่องนี้จะมีคนผิดหรือไม่มีคนผิด ก็ขึ้นอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเราอยากให้มีคนผิด หรืออยากให้มีคนถูก หากข้อเท็จจริงถูก ก็ต้องว่าถูก