นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ รัฐบาลดีใจว่าอันดับความสามารถแข่งขันของไทยที่จัดโดยเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม ดีขึ้น 2 อันดับจาก 40 มาอยู่อันดับที่ 38 นั้น อยากให้ข้อมูลที่ถูกต้องว่าความสามารถแข่งขันของไทยที่ประกาศในปีที่แล้วปี 2560 อยู่ที่อันดับที่ 40 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และในปี 2561 นี้ ดีขึ้นมา 2 อันดับมาอยู่ที่ 38 จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจนัก เพราะหากมองย้อนหลัง 10 ปี อันดับความสามารถแข่งขันที่ดีที่สุดของไทยเคยอยู่อันดับที่ 28 ในปี 2551 จนมาตกต่ำที่สุดในปี 2560 ที่อันดับ 40 ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ และปีนี้ดีขึ้นมาอยู่อันดับที่ 38 ก็ยังห่างจากอันดับ 28 มาก
นายพิชัยระบุว่าสาเหตุหลักของความสามารถแข่งขันของไทยที่ลดต่ำลงมาเกิดจากความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลและการปฏิวัติรัฐประหาร จึงอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ไข และอยากให้เคารพเสียงของประชาชนให้รู้จักแพ้ รู้จักชนะเหมือนที่ท่าน ผบ. ทบ. คนใหม่ประกาศ พวกที่คิดจะปั่นป่วนประเทศไม่รับฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องเลิกทำ และเชื่อว่าการปฏิวัติรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าการปฏิวัติรัฐประหารได้สร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมหาศาลโดยเฉพาะความเสียหายทางเศรษฐกิจ
"ขนาดมีนักวิชาการประเมินกันว่าความเสียหายจากการปฏิวัติรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน มีถึงประมาณ 10.97 ล้านล้านบาทเลย ซึ่งหากไม่มีการปฏิวัติประชาชนคงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้มาก"
อดีตรัฐมนตรีพลังงานระบุด้วยว่าถึงแม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตได้ 4% กว่า แต่ก็เสียโอกาสมา 4 ปีแล้วที่เศรษฐกิจโตต่ำแทนที่ไทยจะโตได้มากกว่า 4-5% ทุกปีตามศักยภาพถ้าหากไม่เกิดการปฏิวัติ
ทั้งนี้ในปีหน้าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะกลับไปโตต่ำลงอีกครั้ง ตามคำเตือนของ ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย และ ไอเอ็มเอฟ ทั้งนี้เพราะไทยจะประสพปัญหาการลงทุนในภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลงมากมาตลอด 4 ปี อีกทั้งเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำลงด้วย ประกอบกับสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐและจีนจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น เศรษฐกิจจีนก็จะโตต่ำลงในปีหน้าและจีนจะมีปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้การส่งออกของไทยก็จะขยายตัวลดลงในปีหน้า และหากมีการเลื่อนการเลือกตั้งความมั่นใจของต่างประเทศก็จะยิ่งลดลง และยิ่งมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดมีการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทยขึ้นอีกหรือไม่ ก็จะยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ดังนั้นในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศกลับมา จึงอยากเรียกร้องขอทุกฝ่ายให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในทุกด้าน ระมัดระวังคำพูดที่จะสร้างความเสียหาย อีกทั้งควรจะต้องปลดล๊อกทั้งหมด และอนุญาตให้หาเสียงได้อย่างเสรีทั้งการลงพื้นที่ และทางโซเชียลมีเดียในทันที
นายพิชัยยังเรียกร้องด้วยว่า รัฐบาล คสช. ต้องยกเลิกการกลั่นแกล้งและการดำเนินคดีทางการเมืองทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นที่เชื่อถือได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประเทศไทยให้กลับมาโดยเร็วที่สุดหลังการเลือกตั้ง เพื่อรัฐบาลใหม่จะได้เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาการกินดีอยู่ดีของประชาชนได้โดยเร็ว หลังจากที่ลำบากกันอย่างมากมากว่า 4 ปีแล้ว