ไม่พบผลการค้นหา
มัลดีฟส์จับกุมผู้พิพากษาและหัวหน้าพรรคฝ่านค้าน หลังไม่ยอมปล่อยนักโทษการเมืองตามคำสั่งศาล และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตำรวจมัลดีฟส์บุกจับกุมนายอับดุลลา ซาอีด ประธานศาลฎีกา และนายอาลี ฮามีด ผู้พิพากษา รวมถึงนายมามูน อับดุล กายูม อดีตประธานาธิบดีที่ปกครองสาธารณรัฐมัลดีฟส์มานานกว่า 30 ปี และขณะนี้เป็นพันธมิตรกับพรรคฝ่ายค้าน ถูกจับกุมตัวภายในบ้านพักของตัวเอง เพียงไม่นานหลังจากเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 15 วัน ซึ่งจะให้อำนาจพิเศษกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยในวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น และห้ามประชาชนออกมาชุมนุมด้วย

วิกฤตการเมืองของมัลดีฟส์เกิดขึ้นเนื่องจากนายอับดุลลา ยามีน ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ ไม่ยอมปล่อยตัวนักโทษการเมืองตามคำสั่งศาลฏีกาเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยศาลระบุให้ปล่อยตัวนักการเมืองฝ่ายค้าน 9 คน และสั่งให้มีการรื้อฟื้นคดีใหม่ทั้งหมด เนื่องจากการสอบสวนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยอคติทางการเมือง อีกทั้งยังตัดสินว่า การดำเนินคดีเมื่อปี 2015 ของนายโมฮัมเหม็ด นาชีด อดีตประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยคนแรกของประเทศขัดกับรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ศาลฎีกาของมัลดีฟส์ยังมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งทางการเมืองให้กับสมาชิกของสภา นิติบัญญัติ 12 คน ซึ่งถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว โทษฐานแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายค้าน ซึ่งนายยามีนก็ปฏิเสธที่จะทำตาม เพราะหากสมาชิกของสภานิติบัญญัติทั้ง 12 คนได้รับการคืนตำแหน่งก็จะทำให้พรรครัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาทันที และอาจทำให้เขาถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งขณะนี้นายยามีนได้ออกคำสั่งให้กองทัพเตรียมความพร้อมในการปกป้องรัฐบาล ถ้าหากมีความพยายามที่จะถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี

อดีตประธานาธิบดีนาชีด ที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองออกนอกมัลดีฟส์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า การกระทำของรัฐบาลมัลดีฟส์ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และเหมือนการรัฐประหาร ชาวมัลดีฟส์ไม่อาจทนรัฐบาลนอกกฎหมายนี้ได้อีกต่อไป และประธานาธิบดียามีนควรลาออกจากตำแหน่งทันที

ด้านกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ รู้สึกผิดหวังกับสถานการณ์ในมัลดีฟส์อย่างมาก และสหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างประชาชนมัลดีฟส์ พร้อมย้ำว่า รัฐบาลและกองทัพมัลดีฟส์ ต้องเคารพนิติธรรม เสรีภาพในการแสดงออกและหลักการประชาธิปไตย เนื่องจากทั่วโลกจับตาดูอยู่

วิกฤตการเมืองครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่การท่องเที่ยวพีคที่สุดของปี ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนไปเที่ยวมัลดีฟส์กันในช่วงนี้ โดยรัฐบาลหลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐฯ อินเดีย และอังกฤษต่างออกแถลงการณ์เตือนพลเมืองของตัวเองที่ไปเที่ยวที่มัลดีฟส์ให้ ระวังตัวและหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม