***คำประกาศของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ว่าจะไม่จับมือกับพรรคชินวัตร เมื่อวันก่อน ตามมาด้วยคำประกาศถึงจุดยืนของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่า จะไม่จับมือกับพรรคการเมือง ประเภท “ทุจริตเชิงนโยบาย” หรือ “บกพร่องโดยสุจริต” จุดยืนเช่นนี้สัมพันธ์กับการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
อีกเพียงหลักสิบกว่าวัน จะถึงวันเลือกตั้งที่คนไทยรอคอยร่วม 5 ปี ในระหว่างนี้แต่ละพรรคจึงผลักสารทางการเมืองออกมาสื่อสารต่อประชาชนกันเต็มที่ เพื่อหวังพิชิตใจผู้เลือกตั้งให้ได้
ในการปราศรัยครั้งล่าสุดของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดูแลการเลือกตั้งภาคใต้ของพรรคใน 14 จังหวัด ขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.สตูล โดยประกาศชัดเจนว่า
“การเลือกตั้งครั้งนี้ในการจัดตั้งรัฐบาลปชป.ไม่จับมือกับพรรคชินวัตรในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน”
ไม่เพียงคำประกาศจากรองหัวหน้าพรรค เพราะให้หลังไม่กี่วัน อดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ยังทำคลิปประกาศถึงจุดยืนของตัวเอง
คลิปดังกล่าว ปรากฎภาพของอภิสิทธิ์ในที่ท่าขึงขัง พร้อมคำประกาศว่า
“ผมไม่มีวันยอมให้พรรคที่ทุจริต… มานำประเทศ ไม่เอาทั้งพวกบกพร่องโดยสุจริต และทุจริตเชิงนโยบาย
นายกฯ 4 คนของประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต รัฐมนตรีในรัฐบาลเรา มีเรื่องอื้อฉาว ทุจริต ลาออกทันที”
เป็นที่น่าคิดต่อว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อสาธารณะชนถามไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า มีจุดยืนอย่างไร พวกเขาจะตอบอย่างชนิดแบ่งรับแบ่งสู้และเสนอตัวเองเป็นทางเลือกที่สาม ผ่านสโลแกน “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต”
เมื่อถามถึงการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ คำตอบจะคลุมเครือ แต่หากถามว่าจะจับมือกับ “พรรคเพื่อไทย” หรือไม่ ? คำตอบดูจะชัดเจน เหมือนที่ “นิพิฏฐ์” ได้ประกาศไปในเวทีปราศรัยที่สตูล คำตอบดูจะชัดเจน เหมือนที่ “อภิสิทธิ์” ได้ประกาศจุดยืนไป แม้จะเป็นคำประกาศที่ไม่เอ่ยชื่อพรรค ทว่าผู้ฟังรู้ดีว่าเดอะมาร์คโจมตีใครอยู่
คำประกาศของทั้งคู่ จึงชวนให้ตั้งคำถามต่อมาว่า ถ้าไม่จับมือกับพรรคฝั่งประชาธิปไตย แล้วจะจับมือกับใคร ? และ “ประชาธิปัตย์จะร่วมตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกหรือไม่ ?”
***ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดปฏิบัติการสาดโคลนไปยัง “ธนาธร-พรรคอนาคตใหม่” หลังพรรคได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะจาก Tnews ล่าสุดพรรคเดินหน้าฟ้องร้องต่อ Tnews เป็นคดีอาญา ขณะที่อีกหนึ่งอันตราย คือสัญญาณแรงจากกองทัพ ทั้งโจมตีไปยัง “เสรีพิศุทธิ์” และประกาศล็อกสเปกรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
ตัวแทนพรรคอนาคตใหม่มุ่งหน้าสู่ศาลอาญา ยื่นฟ้องคดีอาญาตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 328 รวมทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 273(5) โดยมีจำเลย คือ ม.จ.จุลเจิม ยุคล จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่และหัวหน้าพรรค มีนโยบายล้มล้างสถาบันฯ และยื่นฟ้องคดีอาญากรณีเว็บไซต์ในเครือ T-news กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ และหัวหน้าพรรค มีนโยบายล้มล้างสถาบันฯ
เมื่อ Tnews สาดโคลนไปยัง “ธนาธร-พรรคอนาคตใหม่” ด้วยข้อหารุนแรงในทางการเมือง จึงโดนย้อนศรกลับไปด้วยการดำเนินคดีทางกฎหมาย เหมือนที่ โฆษกพรรคบอกว่า “เรายืนยันในเสรีภาพการแสดงออก แต่จะไม่ทนกับกระบวนการใส่ร้ายป้ายสีอย่างเป็นระบบ” และ “เราจะใช้คดีนี้เป็นตัวอย่างว่าการใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ก็เพียงพอแล้วที่จะปกป้องสิทธิของตัวเองจากการถูกใส่ร้ายป้ายสี”
ให้หลังจากฟ้องร้องไม่กี่ชั่วโมง Tnews ออกแถลงการณ์ทันที “ยืนหยัดอุดมการณ์ ยืนยัน "ธนาธร" เป็น อันตราย” (อ่านฉบับเต็ม )
“จากจุดยืนของสำนักข่าวทีนิวส์ที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น การที่พรรคอนาคตใหม่ฟ้องสำนักข่าวทีนิวส์ว่าใส่ร้ายและหมิ่นประมาทนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่นั้น(แม้ว่าจะเป็นการ "เลือกปฏิบัติ" อย่างชัดเจนเพราะมีความจงใจฟ้องเฉพาะสำนักข่าวทีนิวส์เพียงสำนักเดียวเพื่อไม่ให้สำนักข่าวทีนิวส์รายงานข่าวนายธนาธรต่อประชาชน) ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์ถือว่าได้ทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่พึงมีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่และตรงไปตรงมา อันเป็นเรื่องที่ดีที่ข้อเท็จจริงและความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายธนาธร นายปิยะบุตร และพรรคอนาคตใหม่ที่มีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมดจะได้นำเสนอในการพิจารณาในชั้นศาล และจะปรากฎต่อสาธารณะต่อไป ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์จะไม่เปลี่ยนแปลงในจุดยืนนี้ และจะทำหน้าที่สื่อมวลชนด้วยจุดยืนนี้ตลอดไป”
“เกษียร เตชะพีระ” ร่ายสดทันทีว่า แถลงการณ์ของ Tnews ถือว่าเป็น “คำกล่าวหาอันเป็นอันตรายต่อสถาบันสำคัญของชาติ” และ “สถาบันสำคัญของชาติถูกนำไปใช้เป็นอาวุธห้ำหั่นกันทางการเมืองระหว่างคนไทยกลุ่มต่าง ๆ แทนที่จะเป็นสถาบันของคนไทยทุกคนในชาติอย่างเหนือความขัดแย้ง” อีกด้านหนึ่งยังปรากฎข้อวิพากษ์กลับไปยัง Tnews อย่างมหาศาลด้วยคำถามหลักว่า “เมื่อแถลงการณ์ชัดเจนแบบนี้แล้ว ยังถือได้ว่าอยู่ในสถานะสื่อมวลชนหรือไม่ ? หรือเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ IO เต็มรูปแบบ ?”
ไม่เพียงมุ่งโจมตีไปยัง“ธนาธร-ปิยบุตร-พรรคอนาคตใหม่” อย่างไม่ลดละ ทว่าอีกหนึ่งเป้าคือ “พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” อีกหนึ่งตัวละครหลัก จากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการเลือกตั้งรอบนี้
ความตรงไปตรงมาของ “เสรีพิศุทธ์” ในการวิจารณ์นายทหารนายหนึ่งที่มาเดินติดตามเมื่อวันก่อนที่ปราจีนบุรี นำไปสู่สัญญาณตบเท้าของกองทัพ เป็นการตบเท้าทั้งเพื่อเตือน เสรีพิศุทธ์ เป็นการตบเท้าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีทหาร และเป็นการตบเท้าเพื่อล็อกสเปกรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
ข้อแรก ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ข้อหาหมิ่นประมาทในนามส่วนตัว “มีการพูดถึง เครื่องหมายติดอยู่บนเครื่องแบบทหารของ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยข้อความไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งย่อมรู้ความหมายของเครื่องหมายต่างๆดี ว่าหมายถึงอะไร มีที่มาอย่างไรโดยเฉพาะเครื่องหมายพระราชทาน”
ข้อสอง ผู้บัญชาการทหารบก เตรียมให้ ฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความดำเนินคดี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังนำข้อความดังกล่าว (วิจารณ์เครื่องหมาย) ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งไปโพสต์ในเพจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
ข้อสาม พ.ท.ปกิจ ผลฟัก ผบ.ร้อย.รส.กกล.รส.จ.ปราจีนบุรี นายทหารสัญญาบัตรสังกัดหน่วยมณฑลทหารบกที่ 12 ค่ายจักรพงษ์ ต.ดงพระราม อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี แจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในข้อหา หมิ่นประมาท ดูถูกเหยียดหยามในขณะปฏิบัติหน้าที่
โดย พลตรี ชัยวัฒน์ บุญธรรมเจริญ ผบ.มทบ.12 ผู้บังคับบัญชาของ พ.ท.ปกิจ กล่าวว่า “การนำผู้ใต้บังคับบัญชามาแจ้งความในวันนี้เพื่อปกป้อง เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของทหาร”
ข้อสี่ ผู้บัญชาการทหารบก เรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษ และการประชุมผู้บังคับหน่วยระดับกองพันขึ้นไป โดยมีผู้บังคับหน่วยระดับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกทั่วประเทศกว่า 700 นายเข้าร่วมการประชุม
นอกเหนือไปจากร่วมกันปฏิญาณตนเบื้องหน้า พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ที่ บก.ทบ.ราชดำเนิน ด้วยประโยคว่า "ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษามรดกของพระองค์ท่าน ไว้ด้วยชีวิต" จำนวน 3 รอบแล้ว ก็ตามด้วย คำปฏิญาณอีกชุดที่ผู้บัญชาการทหารบกร่างมาเอง ความว่า
“ข้าพเจ้าจะรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า จะธำรงค์ไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีทหาร
ข้าพเจ้าในฐานะ เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะสนับสนุนรัฐบาล ที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความจงรักภักดี และธรรมาภิบาล
ข้าพเจ้าจะดูและช่วยเหลือเป็นที่พึ่งของ ปชช.ในทุกโอกาส และดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ด้วยความเมตตาและเป็นธรรม”
ข้อห้า ผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบประกาศนียบัตรให้ พ.ท.ปกิจ ผลฟัก พร้อมกล่าวชื่นชมว่า “เป็นตัวอย่างของความอดทนต่อการยั่วยุ หมิ่นประมาท….เรามีสมบัติผู้ดี ถูกฝึกอบรมสั่งสอนมา เป็นหนึ่งเดียวกัน ในเบ้าหลอมเดียวกัน รักษาเกียรติทหารอาชีพ เมื่อใดที่เราแตกกัน ไม่รัก ไม่สามัคคีกัน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้”
เหล่านี้คือสัญญาณแรงจากกองทัพเพื่อล็อกสเปกรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และเป็นสัญญาณว่า เส้นทางก่อนถึงวันเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งจะไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นความไม่ราบรื่น อันมาจากจากจุดยืนของพรรคการเมืองที่ไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้การต่อรองหลังเลือกตั้งจะมีสูงมาก เป็นความไม่ราบรื่นอันมาจากกองทัพที่ออกมาตบเท้า-เล่นการเมืองอย่างชัดเจน!!