ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' จี้ 'ประยุทธ์' รับมือ 4 สัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจที่มาเร็ว น้ำมันทะลุ 130$ เงินเฟ้อพุ่ง 5.28% ดอกเบี้ยขึ้น ขาดดุลการค้าสูง ห่วง อย่าให้ข้อมูลบิดเบือนแก่ประชาชนแล้วเชื่อเองจะแก้ปัญหาไม่ได้ แนะตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกเพื่อนำมาช่วยค่าครองชีพประชาชน และเลิกยึดติด

พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ตนได้เตือนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ถึงปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ต่ำและจะไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลขายฝัน แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่ฟัง อีกทั้งยังกล้าบอกว่าพอใจทั้งที่ล้มเหลวกับเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งที่ขยายได้ตำ่มากเพียง 1.6% จากที่ทรุดหนักติดลบตกลงมา -6.2% ในปี 2563 แถมยังอ้างว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งเพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศมาก ทั้งที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยสูงมาตั้งแต่ก่อนพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาแล้ว แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถทำเศรษฐกิจไทยให้ดีได้ การอ้างมั่วลักษณะนี้แสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจในสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง และน่าเป็นห่วงว่าอาจจะเป็นความพยายามที่จะให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับประชาชนแต่กลับหลงเชื่อเอง ถึงขนาดที่กล้านำโพลที่ไม่น่าเชื่อถือมาอ้างมั่วเพื่ออวยตนเองว่าประชาชนพอใจทั้งที่คนกำลังลำบากกันอย่างมาก ซึ่งจะทำให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ และจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้นเพราะความไม่รู้  

ดังนั้น จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับไปทบทวนและศึกษา 4 สัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจนี้ ที่ตนได้เคยเตือนไว้แล้ว และได้ขยายผลรุนแรงและรวดเร็วในเวลาไม่นาน และจะมีผลกระทบรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากไม่มีแนวทางที่เหมาะสมในการรับมือ ดังนี้ 

1. ราคาน้ำมันได้พุ่งขึ้นทะลุ 130$ ต่อบาเรล และยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอีก จากสถานการณ์สงครามรัสเซียยูเครน ตามที่ตนได้เตือนมาตลอด แต่สุพัฒนพงษ์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ทั้งที่เคยทำงานบริษัทพลังงานกลับบอกว่าราคาจะไม่ขึ้นไปกว่านี้ ตอนที่ราคาอยู่ที่ 80$ -90$ ต่อบาเรล จึงไม่ได้มีการเตรียมการรับมือ ซึ่งราคาน้ำมันที่สูงจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า และ ค่าใช้จ่ายของประชาชนอย่างมาก เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนของสินค้าแทบทุกชนิด ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จะมีแนวทางรับมือกับราคาน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างไร 

2. ราคาสินค้าพุ่งขึ้นสูง เงินเฟ้อในเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นถึง 5.28% หลังจากที่เงินเฟ้อเดือน ม.ค. ขึ้นไป 3.23% และยังมีแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะสูงเพิ่มขึ้นอีกตามที่ตนได้เตือนไว้แต่แรกแล้วว่าเงินเฟ้อของไทยเพิ่งจะเริ่มต้น (ปีที่แล้วประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อทั้งปีเพียง 1.23%) อัตราเงินเฟ้อของไทยที่สูงขึ้นมากสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ ภาวะเงินเฟ้อของไทยจะขึ้นไปตามอัตราเงินเฟ้อของโลกที่สูงขึ้นมากตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็กและเป็นเศรษฐกิจเปิดจึงหลีกเลี่ยงภาวะเงินเฟ้อจากต่างประเทศได้ยาก แต่คนไทยรายได้ไม่ได้เพิ่มแถมยังลดลงเพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ไม่เหมือนคนในต่างประเทศส่วนใหญ่ที่เศรษฐกิจประเทศเขาฟื้นแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะรับมือกับราคาสินค้าที่แพงแม้กระทั่งไข่ก็ราคาพุ่งอย่างไร เพื่อไม่ให้คนไทยลำบากไปมากกว่านี้ 

3. อัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับเพิ่มขึ้น จากล่าสุดที่ เจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐออกมาประกาศว่าการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐจะเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือน่าจะขึ้น 0.5% ภายในเดือนนี้ และน่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายหนภายในปีนี้ ซึ่งประเทศไทยอาจต้องถูกบังคับให้ขึ้นดอกเบี้ยตาม มิเช่นนั้นเงินทุนต่างประเทศอาจจะไหลออกได้ แล้วพล.อ.ประยุทธ์จะรับมือกับเรื่องดอกเบี้ยที่จะขึ้นนี้ได้อย่างไร ในขณะที่แนวโน้มของหนี้เสียทั้งในภาคธุรกิจและในภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก 

4. ไทยขาดดุลการค้าในเดือน ม.ค. เป็นจำนวนเงินถึง 2,526.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ จ่ายเงินเพื่อการนำเข้ามากกว่าได้เงินจากการส่งออก สาเหตุหลักมาจากการต้องนำเข้าน้ำมันในราคาที่สูงมาก แม้การส่งออกของไทยในเดิอนมกราคมจะขยายได้ถึง 8% ซึ่งตอกย้ำว่าในอดีตตลอด 7 ปี พล.อ. ประยุทธ์ไม่สามารถสร้างประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ถูกในการพัฒนาประเทศได้เลย และหากราคาน้ำมันยังขึ้นไปอีก และหากการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร ประเทศไทยจะประสพปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด พร้อมการขาดดุลทางการคลังที่ขาดดุลมากอยู่แล้ว และยังจะมีปัญหาการเก็บรายได้ที่จะต่ำกว่าประมาณการมากจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาซ้ำเติมอีก ซ้ำเติมด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นมากในการรักษาพยาบาลประชาชนที่ติดไวรัสโควิดกันเป็นจำนวนมากตามที่ได้เคยเตือนล่วงหน้า 

นี่เป็น 4 สัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกันและมาเร็วกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งผลกระทบจากสงครามรัสเซียยูเครนที่น่าจะยืดเยื้อจะส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทยอีกหลายด้านเป็นเวลาอีกนาน ซึ่งหากพล.อ.ประยุทธ์ยังคิดได้แค่จะแก้ตัว แทนที่จะหาทางแก้ไขและรับมือ เช่น ควรจะต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของรัฐทั้งหมดออก แล้วนำเงินมาช่วยค่าครองชีพของประชาชนก่อน ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้วางแผนไว้แล้ว หรือ อาจจะมัวยุ่งแต่ว่าตนเองจะรอดผ่านการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม. 151 ของฝ่ายค้านในเดือน พ.ค. นี้หรือไม่ ซึ่งกว่าจะถึงเดือน พ.ค. ความขัดแยังในฝั่งรัฐบาล และปัญหาเศรษฐกิจจะถาโถมเข้าสู่พล.อ.ประยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกอย่างมาก โอกาสรอดคงเป็นไปได้ยาก และถึงรอดในสภาก็ไม่รอดจากประชาชนที่กำลังเดือดร้อนกันอย่างหนัก พล.อ.ประยุทธ์น่าจะสำนึกเองได้แล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์เข้ามารับทำงานในตำแหน่งที่เกินความรู้ความสามารถของตนเองที่มี การบริหารประเทศไม่ได้ง่ายอย่างที่เคยคุยโวไว้ และหากรักประเทศและประชาชนจริงตามที่เคยพูดไว้ ก็ต้องเลิกยึดติดและออกไปได้แล้ว