เวลา 10.00 น. วันที่ 14 มิ.ย. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย ในการแถลงข่าวของคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตอนนี้ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นเป็นลิตรละ 35 บาท ซึ่งชนเพดานที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งไว้ และกำลังจะขยายเป็นลิตรละ 38 บาท ซึ่งจะเดือดร้อนพี่น้องประชาชน
ในขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมพุ่งขึ้นถึง 8.6% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 41 ปี เป็นการเร่งให้สหรัฐฯ ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นน่าจะขึ้นถึง 0.75% ในอีกไม่กี่วันนี้ ในขณะที่เงินเฟ้อของไทยที่สูงถึง 7.1% ในเดือนพฤษภาคม และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปีนี้เป็น 6.2% จากเดิม 4.9% และอาจจะจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้เช่นกัน
พิชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะพุ่งขึ้นถึง 150-160 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรล ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้นานแล้ว ปัญหาเงินเฟ้อสูงกำลังจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั้งโลก และจะสร้างความปั่นป่วนกับเศรษฐกิจโลก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเตรียมตัวรับมือจากปัญหาเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้นอีกมาก
พิชัย เสริมว่า ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำท่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น รัฐบาลที่ดีจะต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหา และนำพาประเทศสู่การพัฒนาและการกินดีอยู่ดีของประชาชนในอนาคต ดังนั้นคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยจึงเสนอแนวทางในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส 4 ด้านคือ
1.โอกาสทางด้านพลังงาน รัฐบาลควรจะต้องปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามที่ได้เสนอไว้ ทั้งนี้ค่าการกลั่นเป็นอัตรามาตรฐานของสากลใช้กับโรงกลั่นทั่วโลก ที่เกิดจากความต้องการซื้อ (Demand) และความต้องการขาย (Supply) ของน้ำมันสำเร็จรูป และ อยากให้ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ไปศึกษาให้ดีก่อนที่จะวิจารณ์ว่าเป็นการปล้น ถึงแม้จะเป็นราคามาตรฐานสากลแต่ก็อาจจะลดลงได้ และ เมื่อพูดถึงมาตรฐานสากล รัฐบาลจะต้องตัดสินใจเรื่องราคาหน้าโรงกลั่นก็ต้องเป็นราคาสากลเช่นกัน อย่าให้บริษัทพลังงานเอาเปรียบประชาชนในทุกด้านแบบเอาแต่ได้ แต่ที่สำคัญและอยากเรียกร้องคือการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ที่มีแหล่งพลังงานจำนวนมาก และสามารถนำขึ้นมาใช้และบริการให้กับประชาชนในราคาที่ถูกลง อีกทั้งจะสามารถทำเงินเป็นรายได้เข้ารัฐ ปีละหลายแสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ทำสวัสดิการให้กับประชาชนได้
นอกจากนี้โอกาสทางพลังงานยังหมายถึงการปรับโครงสร้างการใข้พลังงานในอนาคตของประเทศไทย การใช้พลังงานที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นทิศทางของโลก การส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV ที่ยุโรปประกาศจะจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ EV ในปี 2035 และเลิกจำหน่ายรถยนต์น้ำมันทั้งหมด ซึ่งไทยคงต้องปรับเปลี่ยนทิศทางตามแนวทางโลก อีกทั้งต้องคิดวางแผนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) สำหรับอนาคต และ ต้องออกมาตรการการช่วยเหลือประชาชนในภาวะพลังงานแพงนี้
2.โอกาสทางด้านอาหาร ในภาวะที่โลกขาดแคลนอาหาร ประเทศไทยผู้ผลิตอาหารควรจะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถผลิต และขายอาหารที่โลกต้องการเพื่อไปจำหน่ายทั่วโลกในราคาที่สูงเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยประเทศไทยต้องนำระบบ Ai เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อตรวจสอบภูมิอากาศ และความชื้น คุณภาพของดิน เพื่อการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต รวมถึงการใช้ระบบ Automation เช่น โดรน และ อุปกรณ์การเกษตรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน
3.โอกาสทางธุรกิจดิจิทัล ที่ประเทศไทยต้องปรับระบบราชการเป็นระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดขนาดราชการ และ กำจัดการคอรัปชัน การปรับระบบดิจิทัล (Digital Transformation) ทั้งภาคราชการ และ ภาคเอกชน พร้อมทั้งสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การส่งเสริมให้เกิดธุรกิจดิจิทัลขนาดใหญ่จำนานมาก และสร้างมูลค่าธุรกิจและมูลค่าของประเทศ เพิ่มการจ้างงานที่มีรายได้สูงในอนาคต ซึ่งเป็นทิศทางอนาคตของโลก
4.โอกาสทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยต้องคำนึงว่า อุตสาหกรรมต้นน้ำของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของโลก คือ อุตสาหกรรมผลิตไมโครชิพ (Microchip) และ อุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ (Battery) ซึ่งกำลังขาดแคลนอย่างมากทั่วโลก และราคาได้พุ่งสูง เพราะอุตสาหกรรมสมัยใหม่ทั้ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และโดรน จำเป็นต้องใข้อุปกรณ์เหล่านี้ ประเทศไทยจะต้องหาบริษัทต่างประเทศมาร่วมลงทุนผลิตไมโครชิพ และแบตเตอรี่นี้โดยเร็วที่สุด
พิชัย เสริมว่า การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสยังมีอีกมากมาย หากรัฐบาลมีความคิด และฉลาดพอ โดยอยากให้เริ่มต้นใน 4 เรื่องนี้ เพื่อเป็นจุดหักเห (Turning point) สำคัญของประเทศไทย ซึ่งหากทำได้ ประเทศไทยจะพัฒนาต่อไปได้อีกมาก แต่ถ้าประเทศไทยยังบริหารอย่างที่เป็นอยู่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะตลอด 8 ปีที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ ทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤตมาตลอด
พิชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ในก่อนวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจโลกดีขึ้นมาก แต่ไทยกลับขยายตัวต่ำมาก อีกทั้งราคาน้ำมันตลอดหลายปีราคาถูกมากแต่ไทยกลับไม่ได้ประโยชน์เลย พอมาถึงปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย พล.อ.ประยุทธ์ จะรับมือได้อย่างไร หากยังจะดื้อรั้นและคิดว่าตนเองทำได้ และทำดีแล้ว ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน
"พรรคเพื่อไทยไม่ได้โหน ชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. แต่อยากให้ดูถึงวิธีการทำงานที่รู้ปัญหาจริง มีทางแก้ไข และทำได้จริง เข้าถึงพื้นที่ สุภาพไม่ก้าวร้าว ซึ่งต่างจากผู้นำประเทศในปัจจุบันราวฟ้ากับเหว และการที่ประชาชนจำนวนมากเริ่มออกมาชุมนุมอีกครั้ง เพราะทนความล้มเหลวกันไม่ไหวแล้ว" พิชัย กล่าว