ไม่พบผลการค้นหา
ตำรวจแจ้ง 3 ข้อหา 2 มือระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่มีข้อหาก่อการร้าย ด้าน ผบ.ตร. ยอมรับคดีนี้ยาก เพราะก่อเหตุเป็นขบวนการและปิดลับในแต่ละจุด

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พ.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับผู้บัญชาการร่วมกันแถลงข่าว เหตุคนร้ายลอบวางวัตถุระเบิดบริเวณด้านหน้า ตร.

โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุถึงภาพรวมการคลี่คลายคดีว่า ตำรวจทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด แม้ว่าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ภายในไม่ถึง 10 ชั่วโมง แต่วิธีการขั้นตอนในการควบคุมตัวซักถามต่างๆเพื่อให้รู้โครงสร้างทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย พร้อมยืนยันว่า รู้เรื่องราวทั้งหมดแต่ไม่ได้ตอบเองเพราะยังไม่ถึงเวลา โดย ผบ.ตร.ยังแสดงความไม่พอใจที่สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานข่าวว่า ตำรวจไร้ความสามารถหรือกล่าวหาว่าตัวเองว่าไม่กล้าเจอนักข่าว ตลอดจนการโจมตีรัฐบาลในแง่ลบ ซึ่ง ผบ.ตร.รู้ว่าสื่อมวลชนบางสำนักสนิทกับตำรวจบางคนและแอบส่งข่าวให้กัน ซึ่งส่งผลเสียต่อรูปคดีและทำให้ผู้ต้องสงสัยไหวตัวทัน 

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า อยากให้สื่อมวลชนและชาวโซเชียลมีเดียทบทวนการนำเสนอข้อมูลทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นการชี้นำคนร้าย รวมถึงใน Social Media ซึ่งอาจจะตกเป็นเครื่องมือทั้งทางการเมืองและเครื่องมือของคนร้ายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย และย้ำด้วยว่าการพูดครั้งนี้ไม่ได้น้อยใจ แต่รำพึงรำพันให้ฟังและให้สังคมเข้าใจว่า คดีระเบิดไม่ใช่คดีลักทรัพย์ง่ายๆ เป็นคดีบ้านก็ดีเมืองที่มีความยากและสลับซับซ้อน 

โดยจากประสบการณ์การทำหน้าที่ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมาที่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในทุกรัฐบาล ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับ "เรื่องการเมือง" แต่กรณีล่าสุดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ 2 ผู้ต้องหามีประวัติในฐานข้อมูลของทางการ โดยเฉพาะการโจมตีฐานปฏิบัติการของนาวิกโยธินเมื่อปี 2546 และการก่อเหตุล่าสุดในหลายจุด โดยแต่ละจุดมีการปิดลับ ไม่ทราบการปฏิบัติการของจุดอื่นๆ จึงเป็นความยากในการคลี่คลายคดี และแตกต่างจากการคลี่คลายคดีระเบิดศาลพระพรหม บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะแถลงความคืบหน้าเป็นระยะแต่จะเปิดเผยข้อมูลเท่าที่เปิดเผยได้เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี

ผบ.ตร.ยังกล่าวถึง การล้อเลียนรัฐบาลจากการหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐว่า "สงบจบที่ลุงตู่ " โดยขยายความว่าความสงบในการหาเสียงนั้นคือสงบจากการชุมนุมขนาดใหญ่ ที่ไม่มีในช่วงที่รัฐบาล คสช.บริหารประเทศตลอด 5 ปี พร้อมปฏิเสธว่าให้ความหมายเช่นนี้ "ไม่ได้พูดเพื่อเอาแต่รัฐบาล" และการที่ผู้บัญชาการทหารบกออกมาพูดว่าคนหน้าเดิมๆนั้น ผบ.ตร. ระบุว่า ที่ ผบ.ทบ.สรุปเช่นนั้นไม่ได้พูดผิด เพราะจากประสบการณ์ที่เคย ทำงานในจังหวัดชายแดนใต้รู้ว่ากลุ่มไหนมีแนวคิดอย่างไรและการก่อเหตุครั้งนี้มีคนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ซึ่งศัพท์ทางใต้เรียกว่า "คนหน้าขาว" ที่ยังไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมร่วมก่อเหตุด้วย 

รองผบ.ตร. คาดผู้ก่อเหตุแสดงเชิงสัญลักษณ์ ไม่หวังปลิดชีพ

พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผบ.ตร. แถลงความคืบหน้าคดีระเบิดว่า โดยจากการสืบสวนเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ทั้งหมดในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 1 ถึง 2 สิงหาคม 2562 เชื่อว่า การกระทำของคนร้ายมีลักษณะเป็นขบวนการแบ่งแยกหน้าที่การลงมือ มีการอำพรางตัว เข้าไปก่อเหตุ มีผู้ร่วมขบวนการไม่น้อยกว่า 15 คน ซึ่งยังไม่รวมถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนหรือผู้ที่อยู่ในระดับการวางแผนสั่งการต่างๆ โดยวันที่ 2 สิงหาคม ตำรวจได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 2 ราย เป็นคนจังหวัดนราธิวาส คือ นายลูไอ แซแง อายุ 23 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ยืนยันไม่ได้ว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองหรือไม่ แต่อาจมีผู้หวังผลทางการเมืองได้ประโยชน์ด้วย และเชื่อว่า มีผู้ต้องสงสัยบางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศ 

รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า มีพยานหลักฐานยืนยันการก่อเหตุที่ ตร. โดยวันนี้ที่ 8 สิงหาคม 2562 ได้ขออนุมัติออกหมายจับและจากนี้จะดำเนินการตามประมวล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เบื้องต้นแจ้ง 3 ข้อหา คือ อั้งยี่ซ่องโจร, มีระเบิดไว้ในครอบครองและพยายามฆ่า เนื่องจากพนักงานสอบสวนมองว่า จุดที่วางระเบิดมีผู้คนสัญจรไปมาและส่วนประกอบเป็นเหมือนระเบิดสังหารที่มุ่งหมายเอาชีวิตได้ แต่การก่อเหตุในจุดอื่นๆบางจุด ผู้ก่อเหตุไม่ได้ประสงค์ถึงชีวิต อาจต้องการก่อเหตุเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเหตุหากพบวัตถุต้องสงสัยและบุคคลต้องสงสัยที่มีการสวมหน้ากากอนามัย สวมหมวกและสะพายเป้ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย