ผลสำรวจจากนีลเส็น บริษัทวิจัยทางการตลาดชี้ว่า ท่ามกลางหลายอุตสาหกรรมที่พังไม่เป็นท่าจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 วงการสตรีมมิ่งกลับได้อานิสงค์จากการที่รัฐบาลหลายประเทศออกมาตรการให้ประชาชนอยู่แต่บ้าน 

ตัวเลขผู้รับชมโทรทัศน์ในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 ในช่วงหลายสัปดาห์ของวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปลายสัปดาห์ก่อนหน้า เช่นเดียวกับตัวเลขการรับชมโทรทัศน์สดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ฝั่งวิดีโอเกมเองก็มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนที่ร้อยละ 35

บริษัทวิจัยชี้ว่า ตัวเลขการเพิ่มขึ้นส่วนมากแล้วมาจากสัดส่วนของเด็กวัยรุ่นถึงร้อยละ 31 เนื่องจากประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ อีกทั้งในกลุ่มคนวัยทำงานก็ต้องปรับตัวมาทำงานที่บ้าน ทำให้อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 28

นอกจากนี้ ตัวเลขที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้ยังสอดคล้องและสนับสนุนตัวเลขจากการสำรวจการใช้งานแพลตฟอร์มสื่อต่างๆ ท่านกลางวิกฤตที่มักมีตัวเลขเพิ่มสูงกว่าช่วงเวลาปกติเสมอ 

ในงานศึกษาก่อนหน้านี้ นีลเส็นสำรวจการเสพสื่อในช่วงที่มีพายุเฮอริเคนในปี 2560 ในเมืองเท็กซัสของสหรัฐฯ และการสำรวจช่วงที่มีเหตุการณ์ผิดปกในนิวยอร์กเมื่อปี 2559 โดยผลลัพธ์ของเท็กซัสชี้ว่าผู้คนดูทีวีมากขึ้นถึงร้อยละ 56 ในช่วงเวลา 5 วัน เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขของนิวยอร์ก เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 ในวันที่มีพายุหิมะถล่ม เมื่อเทียบกับตัวเลขการดูทีวีในสัปดาห์ก่อนหน้า

นีลเส็นสรุปว่า เมื่อเผชิญกับช่วงเวลาเหล่านี้ที่ขัดขวางไม่ให้ประชาชนออกไปข้างนอกบ้านของตนเอง ตัวเลขการเสพสื่อผ่านสตรีมมิ่งจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61 

อีกปัจจัยหลักที่สนับสนุนตัวเลขดังกล่าว มาจากช่องทางการฉายภาพยนต์ต่างๆ ที่ต้องถูกปิดลง และผู้ให้บริการรวมถึงเจ้าของคอนเทนต์ก็ต้องหันมาพึ่งบริการสตรีมมิ่งออนไลน์ที่เข้าถึงประชาชนจำนวนมาก จึงเป็นเหตุผลที่แพลตฟอร์มอย่าง เน็ตผลิกซ์ ดิสนีย์พลัส หรือแอปเปิล ทีวีพลัส ได้รับประโยชน์เต็มๆ

อย่างไรก็ตาม ผลดีเชิงบวกนี้อาจอยู่กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้ไม่นานนัก เนื่องจาก หากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ยังคงจัดขวางการใช้ชีวิตแบบปกติ อุตสาหกรรมการผลิตภาพยนต์หรือคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งก็จะมีแค่คอนเทนต์เก่าๆ ให้บริการเท่านั้น เพราะ “ต่อให้เป็นลูกค้าที่ซื้อสัตย์แค่ไหน และต่อให้พวกเขาเบื่อแค่ไหน ก็ไม่มีใครทนดูอะไรซ้ำๆ ได้ตลอดไป”

อ้างอิง; The Economist, TC