นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขอเทิดทูนรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากพระองค์ทรงห่วงใยสุขภาพอนามัยผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำให้ได้รับความรู้ในการดูแลสุขภาพและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิทธิ์ผู้ต้องขัง ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิให้เท่าเทียมกับบุคคลภายนอก นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริให้มีการจัดตั้งโครงการ"ราชทัณฑ์ปันสุข ทำดีด้วยใจ"ทรงเน้นส่งเสริมด้านการแพทย์พยาบาล นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นที่ทุกฝ่ายควรน้อมรับนำไปปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จตามพระราชประสงค์

นางลดาวัลลิ์กล่าวอีกว่า ขอน้อมรับใส่เกล้าฯพระดํารัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาในการจัดสัมมนาเรื่อง "การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชน"เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ทรงห่วงใยการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ จากกรณีตั้งครรภ์และมีลูกติดแม่ในด้านของสุขภาพอนามัย การฝึกอาชีพ พระองค์ภาทรงเป็นต้นแบบในหน่วยงานรัฐและสังคมสำนึกและตระหนักต่อคุณค่าความสำคัญของสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังและประชาชนโดยทั่วไป จะทำให้นานาชาติให้การยอมรับประเทศไทยมากขึ้น

นางลดาวัลลิ์ กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาคนล้นคุก ซึ่งปกติเรือนจำทั้งประเทศมีพื้นที่รองรับผู้ต้องขังเพียง 120,000 คนแต่ขณะนี้มีมากถึง 360,000คน ก่อให้เกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง ควรจะหาทางระบายให้คนเหล่านี้กลับสู่สังคม ไปมีชีวิตอยู่กับครอบครัว กับญาติพี่น้อง โดยมีมาตรการในการควบคุมความประพฤติด้วยวิธีการต่างๆและใช้เทคโนโลยี เพื่อให้สามารถทำประโยชน์ต่อสังคมตามแนวทางที่จะลดผู้ต้องขัง ไม่ให้ไปแออัดยัดเยียดในเรือนจำ ซึ่งจะทำให้กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้นเป็นไปได้ยาก และลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือแม้กระทั่งในชั้นศาล เพื่อให้คู่กรณีพิพาทตกลงยินยอมและให้อภัยกัน ผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างเหมาะสมเป็นที่พอใจ ยกเว้นคดีร้ายแรงไก่เกลี่ยไม่ได้และกฎหมายกำหนดโทษไว้สูงก็ให้ดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรม