จากเหตุการณ์สุดสลดครั้งใหญ่ที่ จ.หนองบัวลำภู เมื่อ ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ ตำรวจนอกราชการ ที่ถูกไล่ออกจากราชการด้วยสาเหตุเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2565 ส.ต.อ.ปัญญา ได้ก่อเหตุร้ายแรงด้วยการใช้อาวุธปืนกราดยิงและมีดฟันที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 37 ราย และบาดเจ็บ10 ราย ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจถึงพิษร้ายของผลพวงยาเสพติด
ขณะที่พรรคการเมืองโดยเฉพาะฝ่ายค้านก็เรียกร้องไปยังรัฐบาลให้เร่งแก้ไขและปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นจากสังคมไทย เพื่อไม่ให้ยาเสพติดต้องมาจบชีวิตลูกหลานคนไทย
และหากย้อนไปเมื่อยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย (ปี2544-2549) ภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยและนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็เอาจริงและเอาจังกับการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดและจับกุมผู้ค้ารายใหญ่และรายย่อย พร้อมนำตัวลูกหลานคนไทยที่ติดยาเสพติดไปบำบัดรักษาส่งคืนอ้อมกอดครอบครัว
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ขณะรักษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นำพรรคไทยรักไทยปราศรัยใหญ่ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2549 โดยเล่าถึงความในใจของการเป็นนายกรัฐมนตรีและรักษาการทำหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะได้รัฐบาลในการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 2549
โดย ดร.ทักษิณ ได้ปราศรัยตอนต้นที่ท้องสนามหลวง โดยระบุตอนหนึ่งว่า "ผมอาสามาทำงานให้ประชาชน เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่ง บอก ทักษิณออกไป แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งกลุ่มใหญ่ๆทั่วประเทศ บอกว่าทักษิณ สู้ๆ ในเมื่อสังคมมีความขัดแย้งในเชิงความคิดที่จะตัดสินใจ ต่อผู้นำแบบนี้ กระบวนการนอกสภา มีนักการเมืองในสภาไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงเวลาต้องถามประชาชนแล้วว่าประชาชนคิดอย่างไร การยุบสภาคือการเอาอำนาจกลับคืนไปให้พี่น้องประชาชนผู้มีอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตยใช่ไหมครับ ทำไมกลัวการตัดสินใจของประชาชน ฉะนั้นประชาชนต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ผมน้อมรับครับ"
"ถ้าพี่น้องประชาชนตัดสินใจผมน้อมรับ พี่น้องครับ ผมขอวิงวอนนะครับ จะให้ผมวิงวอนแบบไหนก็ได้ วิงวอนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน ส่งผู้สมัครเถอะครับ ได้โปรดเถิด อย่าให้ผมเป็นตัวปัญหาคนเดียวแล้วต้องฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แต่ทั้งหมดต้องเคารพประชาชน ท่านอย่าคิดเองเออเองออเอง ประชาชนมี 1 เสียงเท่ากัน นอนใต้สะพานก็ได้ นอนคฤหาสถ์ก็ได้ คนไทยมี 1 เสียงเท่ากัน"
ดร.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ตนไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่ต้องขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ในเมื่อตนพร้อม ไม่มีอะไรเป็นภาระอีกแล้ว ต้องไม่มีใครมาด่าตนว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ตนก็อยากจะทุ่มเทให้บ้านเมืองอย่างสุดหัวใจ
ดร.ทักษิณ ปราศรัยตอนหนึ่งถึงการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดว่า "ผมเห็นเด็กวัยรุ่นทั้งหลายในวันที่ยาเสพติดซื้อง่ายกว่าหมากฝรั่ง ผมนั่งคิดว่าโลกนี้กำลังจะแข่งกันด้วยสังคมฐานความรู้ นั่นคือเอาสมองดีๆ มาใช้แต่ปรากฏว่าลูกหลานเราถูกยาเสพติดกดสมองหมด ผมบอก ผมรับไม่ได้ ทนไม่ได้ ผมกวาดล้างเต็มที่ วันนี้ดีขึ้นเยอะ ถามว่าแล้วจะเอาอีกไหม ผมเสี่ยง ผมต้องเสี่ยงในการจัดการยาเสพติด เพราะรู้ว่าพ่อค้ายาเสพติดมันร้ายแค่ไหน แต่ผมต้องเสี่ยง เมื่อวานนี้ประชุมยังบอกว่าหมายจับ 11,000 คนไล่ล่ามาให้หมด เพราะผมห่วงลูกหลานท่าน มีคนหนึ่งอุ้มเด็กตัวเล็กนิดเดียวมาหาผม บอกว่าท่านต้องปราบยาเสพติดต่อนะ เพราะห่วงว่า เดี๋ยวลูกโตขึ้นมาจะมีแต่สังคมยาเสพติด"
ดร.ทักษิณ ปราศรัยในตอนท้ายว่า ปกติชีวิตของตนก็สบายแล้ว ไปตั้งพรรคไทยรักไทยตอนแรกได้ ส.ส. 30-40 คนก็พอแล้ว มีวันเหนื่อยล้ามาก คิดว่าตัวเองจะไม่ไหวแล้ว ก็เหนื่อยและเพลียมาก มีคนแก่คนหนึ่งที่ จ.ร้อยเอ็ด มานั่งยองๆ ยกมือไหว้ตนแล้วบอกว่า "ท่านครับ ช่วยเป็นนายกฯ ให้คนจนหน่อย"
"เท่านี้มันกินใจผมมาก ทำให้ผมฮึด ต้องแก้ปัญหาความยากจนให้หมดให้ได้ใน 3 ปีนี้ เป็นเรื่องที่ยากต้องทำให้ได้ถ้าไม่กล้าคิดเรื่องยาก ก็ไม่มีทางทำได้ เรื่่องยาเสพติดมีคนบอกว่าเราทำไม่ได้ เราก็ทำได้มาแล้ว รถไฟฟ้า 300 กิโลเมตร จะเอาเงินที่ไหนมาทำ เมื่อกล้าทำก็ต้องทำได้" ดร.ทักษิณ ปราศรัยตอนท้าย
น่าเสียดายโอกาสของประเทศ เพราะท้ายที่สุดการเลือกต้ังทั่วไปครั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้เป็นโมฆะ และท้ายที่สุด ดร.ทักษิณ ก็ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ไม่สามารถหวนกลับมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง
ประเทศไทยต้องถูกแช่แข็งด้วยอำนาจนอกระบบ และหยุดการพัฒนาประเทศทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไปหลายปี และจนถึงปัจจุบันปัญหายาเสพติดก็กลับมาระบาดหนักอีกครั้งทั้งที่ในอดีตยุครัฐบาลทักษิณ ได้ทำสงครามกวาดล้างอย่างหนักเพื่อลูกหลานคนไทยได้มีชีวิตที่ดี
(กราฟฟิก เฟซบุ๊ก พรรคเพื่อไทย โพสต์เมื่อ 15 ม.ค. 2564)
ชมคลิป : คำปราศรัยปี49 'ทักษิณ' ทำสงครามกวาดล้าง 'ยาเสพติด'
ข่าวที่เกี่ยวข้อง