ไม่พบผลการค้นหา
'กมธ.ทหาร' ผุดโครงการ 'พลทหารปลอดภัย' ปกป้องพลทหารถูกทารุณในค่าย-โดนใช้งานผิดลักษณะ ชวนทหารหนีค่ายกลับเข้ากรมกอง พร้อมรับประกันความปลอดภัย ดีกว่าเป็นคดีติดตัว ฟาด 'ทร.' จ่อฟ้องกลับประชาชน ทำความสัมพันธ์กับกองทัพเสื่อมทราม ย้ำเหตุนายทหารซักชุดชั้นใน ขัดระเบียบ หมิ่นเกียรติศักดิ์ศรีนายทหาร

วันที่ 13 มี.ค. ที่อาคารรัฐสภา วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการการทหาร แถลงข่าวกรณีตั้งโครงการพลทหารปลอดภัย ที่มี ร.ท. ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานกมธ.การทหาร เป็นหัวหน้าโครงการ

โครงการนี้มีขอบเขตอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. ต้องการปกป้องพลทหารในค่ายทหารจากการถูกซ้อมทรมาน และการกระทำทารุณที่โหดร้าย ซึ่งเราจะใช้ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานและอุ้มหาย เป็นกลไกสำคัญ และจะมีการประสานงานกับกองทัพอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้น 

2. มีพลทหารจำนวนไม่น้อยที่หนีราชการทหาร เคยออกจากค่ายทหารและมีความกังวลบางอย่างจึงไม่กลับเข้าค่าย และต้องคดีหนีราชการทหาร เสียอนาคตขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ทางกมธ. จะมีการรวมตัวพลทหารเหล่านี้ คืนสู่กรมกองพร้อมการันตีความปลอดภัย 

และ 3. การนำพลทหารไปใช้งานผิดลักษณะ ซึ่งเรื่องนี้ระเบียบกระทรวงกลาโหม ออกมาชัดเจนแล้วว่าห้ามกระทำ เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพลทหาร 

ด้าน ร.ท. ธนเดช กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มจากชุดความคิดที่ว่า การยกเลิกเกณฑ์ทหารยังไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน รวมถึงปัญหาในอดีต และปัญหาความไว้เนื้อเชื่อใจจากการร้องเรียนของกำลังพล และผู้บังคับหน่วย ซึ่งเราได้นำปัญหาทั้งหมดมาเรียบเรียง และหาช่องทางแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุด โดยการเปิดช่องทางที่เป็นช่องทางหลักคือเรื่องความเชื่อใจ ระหว่างประชาชน กองทัพ และกำลังพล จึงเกิดเป็นโครงการพลทหารปลอดภัยขึ้น โดยมีการมุ่งหวังสูงสุดคือการระงับยับยั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมถึงการจำหน่ายพลทหารในปีนี้และห้วงเวลาหลังจากนี้ต้องเป็นศูนย์ ส่วนช่องทางการร้องเรียน line OA ที่สามารถร้องเรียนได้โดยตรง

“ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการใกล้ปลดทหารเกณฑ์ผลัดใหม่ พลทหารนายใดที่ได้หนีจากค่ายระหว่างการฝึกในห้วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ขอให้ติดต่อมายัง กมธ. การทหาร ขอให้กลับกรมกอง อย่าได้หนีแล้วมีคดีติดตัวเป็น 10 ปี ทาง กมธ. ขอรับรองความปลอดภัยของท่านในการกลับเข้ากรมกอง ไม่อยากให้มีใครต้องหนี ซึ่งช่องทางนี้เราสร้างมาเพื่อให้ทุกท่านได้อุ่นใจ และขอความไว้วางใจจากพวกท่าน แจ้งมาแล้วกลับเข้ากรมกองด้วยกัน” ร.ท. ธนเดช กล่าว

'วิโรจน์' ฟาด 'ทร.' จ่อฟ้องกลับประชาชน ทำความสัมพันธ์กับกองทัพเสื่อมทราม

วิโรจน์ กล่าวถึงกรณีพลทหารซักชุดชั้นใสที่กำลังถูกพูดถึงในสังคม โดยระบุว่า ตอนนี้กฎเสนาบดีของกระทรวงกลาโหมที่นำนายทหาร ไปรับใช้นายทหารชั้นสูง ภรรยา และลูกนั้นได้ถูกยกเลิกไปนานแล้ว 

โดยทางกระทรวงกลาโหมได้ทำหนังสือชี้แจงถึงประธานกรรมาธิการการทหารว่า การกระทำเช่นนี้ของนายทหารชั้นสูงถือว่าผิดระเบียบ หมิ่นเกียรติ ศักดิ์ศรี ของนายทหาร ซึ่งต้องมีการลงโทษตามวินัย เรื่องนี้มีการชี้แจงไปแล้วว่าเป็นคลิปเก่า แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อป้องปราม ความสำคัญคือหลังจากนี้จะเกิดเหตุซ้ำรอยอีกหรือไม่

ส่วนที่ทางกองทัพเรือได้ให้นายทหารในคลิปออกมาแสดงตัวเพื่อสืบข้อเท็จจริงต่อไปนั้น หากกองทัพเรือดำเนินการเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับข้อเท็จจริง มีการประนีประนอมว่าหากเป็นคลิปเก่าก็ไม่เป็นไร ต้องยอมรับว่ามีภาพลักษณ์แบบนี้จริง ๆ ประชาชนก็เห็นว่ามีนายทหารที่รับใช้พลทหารชั้นสูง 

"หากจะฟ้องกลับประชาชนขอตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชนจะเป็นอย่างไร จะดีขึ้นหรือเสื่อมทรามลง เชื่อว่ากองทัพเรือมีสติปัญญามากพอ หรือถ้าไม่มีก็เชื่อว่า ผบ.ทร. คงมีอย่างแน่นอน" วิโรจน์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบการจับใบดำใบแดงของ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล โดยระบุว่า ผู้บัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) มีการดำเนินคดีไปแล้ว อยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าใจว่ามีการเชิญตัวนายทหาร 5 คนที่ลงนามมาชี้แจง ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร 


วิโรจน์ ชี้ว่า เป็นเรื่องที่นายจิรัฏฐ์และ ผบ.นรด. ต้องรับผิดชอบและคงต้องขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราก็คงจะไม่เข้าไปแทรกแซง ทาง กมธ. ได้มีการส่งหลักฐานให้ ผบ.นรด.ไปแล้ว ก็ถือว่าให้เป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมกับ จิรัฏฐ์ ทุกอย่างก็ตรงไปตรงมา เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม


เมื่อถามย้ำว่า กมธ.การทหารยุติเรื่องนี้ เพื่อรอผลการสอบสวนก่อนใช่หรือไม่ วิโรจน์ กล่าวว่า ไม่ได้ยุติ แต่เราได้ดำเนินการไปแล้ว ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราก็ต้องปล่อยให้เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ 


“การดำเนินการของ กมธ.การทหาร สุ่มเสี่ยงมากๆ ว่าจะเข้าไปแทรกแซงอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเดาก็คงระมัดระวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อบังคับของ กมธ.” วิโรจน์ กล่าว