“เรากำลังทำงานด้านการทูตในภาคพื้นดินอย่างหนัก” ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวกับที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังการลงคะแนนเสียง “เราเชื่อว่าเราจำเป็นต้องปล่อยให้การทูตนั้นดำเนินการไป” ก่อนที่โธมัส-กรีนฟิลด์ จะกล่าวเสริมว่า “การกระทำของฮามาสเอง ได้นำมาซึ่งวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่รุนแรง”
ร่างมติดังกล่าวได้รับการเสนอโดยบราซิล เพื่อหวังที่จะให้มีการประณามความรุนแรงต่อพลเรือนทุกคน แต่สหรัฐฯ ระบุว่า มติดังกล่าวไม่มีเนื้อหาที่มากพอ ในการเน้นย้ำถึงสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตัวเอง หลังจากที่โดยปกติแล้ว สหรัฐฯ มักจะใช้สิทธิในการออกเสียงยับยั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอิสราเอลจากมติที่สำคัญของคณะมนตรี
การเปิดการลงคะแนนเสียงเพื่อออกมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในครั้งนี้ มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังจากมีฝูงชนของผู้ประท้วงจำนวนมากได้ออกมาเดินขบวนบนถนนในหลายประเทศ สืบเนื่องจากเหตุระเบิดร้ายแรงที่เกิดขึ้นเหนือโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฉนวนกาซาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (17 ต.ค.) ซึ่งสร้างความโกรธแค้นอย่างเป็นวงกว้างไปทั่วโลก
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์กล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 471 คนในเหตุระเบิดที่เกิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ในขณะที่อิสราเอลกล่าวว่าการระเบิดโรงพยาบาลในครั้งนี้ เป็นผลมาจากจรวดที่กลุ่มติดอาวุธญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (PIJ) ยิงผิดพลาด โดยกลุ่ม PIJ ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวของอิสราเอล
สหรัฐฯ ระบุว่า จากการวิเคราะห์ "ภาพมุมเหนือศีรษะ การสกัดกั้น และแหล่งข้อมูลเปิด" แสดงให้เห็นว่าอิสราเอลไม่ได้อยู่เบื้องหลังการโจมตี และสหรัฐฯ จะยังคงรวบรวมหลักฐานต่อไป ทั้งนี้ คำกล่าวอ้างดังกล่าวของสหรัฐฯ ยังไม่สามารถได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เป็นอิสระได้
แม้ว่าในขณะนี้จะยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสาเหตุของการระเบิดต่อโรงพยาบาล แต่การประท้วงในทั่วทุกพื้นที่ของภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้สร้างความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นว่ากลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจเข้าร่วมสงครามอิสราเอล-ฮามาสในครั้งนี้ โดย ทอร์ เวนเนสแลนด์ ทูตสันติภาพแห่งสหประชาชาติในตะวันออกกลาง กล่าวต่อหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า โลกกำลัง "เข้าใกล้ถึงเหวลึกและอันตราย ที่อาจเปลี่ยนวิถีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ หากไม่ใช่กลุ่มชาติตะวันออกกลางโดยรวม"
มีการประณามอย่างกว้างขวาง ต่อการโจมตีในพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอลโดยกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งมือปืนจากกลุ่มหัวรุนแรงปาเลสไตน์ ได้สังหารพลเรือนหลายร้อยคนในเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และพื้นที่นิคมเกษตรคิบบุตซิม อีกทั้งยังมีการจับกุมผู้คนไปเป็นเชลยอีก 199 คน โดยทางการอิสราเอลกล่าวว่า อิสราเอลพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,400 คน โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อีกทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 4,400 คน
อย่างไรก็ดี ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธมิตรที่มั่นคงที่สุดของอิสราเอลอย่างสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่ามีการดำเนินการสองมาตรฐาน บนประเด็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอล โดยสหรัฐฯ ระบุว่าอิสราเอลควรดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการสังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์ แต่สหรัฐฯ กลับให้การสนับสนุนอย่างมั่นคง และแทบไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลโดยตรง ในขณะที่อิสราเอลเข้าโจมตีทางอากาศเหนือฉนวนกาซาและละแวกใกล้เคียงทั้งหมด พร้อมกันกับการปิดล้อมและตัดการเข้าถึงน้ำ อาหาร ไฟฟ้า และเชื้อเพลิงให้กับประชากร 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซา
ในทางตรงกันข้าม ทางการปาเลสไตน์กล่าวว่าปาเลสไตน์มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,400 ราย และได้บาดเจ็บอีกกว่า 12,000 ราย จากการโจมตีฉนวนกาซาโดยอิสราเอล
รัสเซีย ซึ่งร่างมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเมื่อต้นสัปดาห์นี้ แต่กลับล้มเหลวในการได้รับฉันทามติในคณะมนตรี ระบุว่า การลงมติยับยั้งของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าวาทกรรมของสหรัฐฯ เกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิมนุษยชนมีไว้เพื่อการรับใช้ตัวเอง หลังจากการวิพากษ์วิจารณ์นานหลายเดือนของสหรัฐฯ เอง เกี่ยวกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย “เราได้เห็นกันอีกครั้งถึงความหน้าซื่อใจคด และการใช้สองมาตรฐานของเพื่อนชาวอเมริกันของเรา” วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตสหประชาชาติของรัสเซียกล่าว
ที่มา: