เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 ธ.ค.) ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เซเลนสกีกล่าวกับทหารที่มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศว่า ยูเครนจะต่อสู้ต่อไปเพื่อขับไล่กองกำลังรัสเซียออกจากประเทศ
“เราจะไม่ยอมแพ้ เรารู้ว่าต้องทำอะไร และคุณวางใจในยูเครนได้ และเราหวังว่าจะสามารถไว้วางใจคุณได้มากเช่นกัน” เซเลนสกีกล่าว “ให้ผมพูดตรงไปตรงมากับคุณ เพื่อนทั้งหลาย หากมีใครได้รับแรงบันดาลใจจากปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขบนแคปิตอลฮิลล์ (รัฐสภาสหรัฐฯ) ก็มีเพียงปูตินและกลุ่มคนที่ป่วยการของเขาเท่านั้น”
เซเลนสกี และ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวแย้งว่าการช่วยให้ยูเครนต่อต้านการรุกรานของรัสเซียที่เริ่มขึ้นในเดือน ก.พ. 2565 ถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ในขณะที่ความพยายามในการช่วยเหลือยูเครน กำลังประสบกับอุปสรรคทางการเมืองในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของประธานาธิบดียูเครน เกิดขึ้นก่อนการลงคะแนนเสียงครั้งสำคัญในรัฐสภาสหรัฐฯ ในเรื่องงบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงเพิ่มเติมแก่ชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ ช่วยระดมประเทศตะวันตกเพื่อส่งความสนับสนุนให้ยูเครนในช่วงแรกของสงคราม แต่ความแตกแยกทางการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มปรากฏขึ้น ในขณะที่สงครามยูเครนกำลังยืดเยื้อต่อไป ซึ่งทั้งรัสเซียและยูเครนต่างประสบกับความชะงักงันในการทำสงครามระดับต่อไป
อย่างไรก็ดี การมอบความสนับสนุนแก่ยูเครนจากชาติพันธมิตรยังคงมีอยู่อย่างมาก แต่ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ เองกำลังมี สส.ฝ่ายขวาบางคน ที่พยายามจำกัดหรือตัดความช่วยเหลือแก่ยูเครนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการระบุจากผู้สนับสนุนยูเครนว่า ความไม่แน่นอนในทางการเมืองดังกล่าว ส่งผลประโยชน์ให้แก่ปูตินในการทำสงคราที่ยูเครน
“แม้ว่าเขาจะก่ออาชญากรรมและแม้จะถูกโดดเดี่ยว แต่ปูตินยังคงเชื่อว่าเขาสามารถอยู่ได้นานกว่ายูเครน และเขาสามารถอยู่ได้นานกว่าอเมริกา แต่เขาคิดผิด” ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวในการแสดงความคิดเห็นเมื่อช่วงวันจันทร์ “คำมั่นสัญญาของอเมริกาต้องได้รับการเคารพ”
รัฐสภาสหรัฐฯ ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนแล้วมากกว่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท) นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มการรุกรานยูเครน แต่ยังไม่มีการอนุมัติงบชุดใหม่นับตั้งแต่พรรครีพับลิกันได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
ในอีกด้านหนึ่ง ไบเดนขอให้รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติเงินสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับยูเครนอีก 6.14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.18 ล้านล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือขนาดใหญ่มูลค่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งรวมถึงเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับอิสราเอลและประเด็นอื่นๆ
อย่างไรก็ดี สส.เสียงข้างมากจากพรรครีพับลิกันใช้อำนาจของตัวเองในรัฐสภา เพื่อผลักดันให้มีข้อจำกัดมากขึ้นในนโยบายการอพยพเข้าบริเวณชายแดนสหรัฐฯ ที่ติดกับเม็กซิโก ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปที่จะยกเลิกการเข้าถึงที่ลี้ภัย เพื่อแลกกับคะแนนเสียงของ สส.พรรครีพับลีกัน ที่จะลงมติสนับสนุนงบช่วยเหลืออิสราเอลและยูเครน
ที่มา: