สำนักข่าว The Guardian รายงานว่ามีประชาชนกลุ่มเล็กๆ ที่พักอาศัยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กำลังยื่นฟ้องร้องรัฐบาลท้องถิ่นเมืองอู่ฮั่นฐานปกปิดข้อมูลไวรัส โดยเรียกร้องขอคำอธิบาย เงินชดเชยค่าเสียหายและคำขอโทษ หนึ่งในนั้นคือลูกชายของ 'หูอ้ายเจิน' หญิงวัย 65 ปีที่เสียชีวิตจากโควิด-19
โดยรายงานระบุว่าเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา นางหูวัย 65 ปี ได้ยินข่าวว่ามีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น แต่ก็ไม่ได้กังวลเพราะทางการก็บอกว่าไวรัสนี้ไม่ได้ติดต่อกันง่ายๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตปกติและเตรียมการฉลองตรุษจีนในช่วงสิ้นเดือน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทางการจะสั่งล็อกดาวน์ นางหูเริ่มมีอาการปอดอักเสบ หลังจากรอและค้นหาโรงพยาบาลอยู่หลายวันนางหูก็ได้รับการตรวจไวรัสซึ่งผลออกมาเป็นลบ แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าการตรวจในช่วงนั้นมีความคลาดเคลื่อนและเธอก็แสดงอาการติดโควิด-19 ชัดเจน แต่ก็ถูกโรงพยาบาลถึง 6 แห่ง ปฏิเสธให้การรักษา รายงานระบุว่านางหูซึ่งปกติร่างกายแข็งแรง พักอยู่บ้านเป็นเวลา 10 วัน โดยที่ไม่สามารถดื่มหรือกินได้ในขณะที่สุขภาพของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ลูกชายของนางหูพยายามพาเธอไปโรงพยาบาลในเขตอื่น แต่ก็ถูกตำรวจห้าม เพราะภายใต้คำสั่งล็อกดาวน์ไม่สามารถเดินทางข้ามเขตได้
ท้ายที่สุดนางหูได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 ก.พ. โดยตอนนั้นเธอมีอาการหายใจลำบาก แพทย์สั่งให้ตรวจไวรัสอีกครั้งแต่ก็สายไป นางหูอ้ายเจินเสียชีวิตในที่สุด
นอกจากลูกชายของนางหูแล้ว ข้อมูลจากเอกสารฟ้องศาลที่เตรียมการโดยฟู่เหนิง (Funeng) องค์กรเอ็นจีโอด้านสวัสดิภาพประชาชนในเมืองฉางซาชี้ว่ายังมีกรณีอื่นๆ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนคนหนึ่งกำลังยื่นฟ้องร้องรัฐบาลมณฑลหูเป่ย หรือแม่คนหนึ่งที่สูญเสียลูกสาววัย 24 ปี จากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังยื่นคำร้องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ โดยหนึ่งในผู้ยื่นคำร้องระบุว่าทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นหากเจ้าหน้าที่บอกกับประชาชน คนจำนวนมากก็ไม่ต้องตาย ซึ่งพวกเขาต้องการคำชี้แจงและให้คนที่ต้องรับผิดชอบถูกลงโทษภายใต้กฎหมาย
ในช่วงที่ไวรัสระบาดรุนแรงในจีนที่มีรายงานยอดผู้ติดเชื้อนับพันรายต่อวัน ความไม่พอใจของสาธารณชนพุ่งสูงในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงหลายสิบปีซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเมื่อนายแพทย์ 'หลี่เหวินเลี่ยง' ผู้แจ้งเตือนการระบาดของไวรัสเสียชีวิตจากโควิด-19 เมื่อเดือน ก.พ. ความเห็นไม่พอใจเกิดขึ้นทั่วโลกออนไลน์จนเซ็นเซอร์ตามไม่ทัน นี่เป็นช่วงเวลาที่บางคนเปรียบเทียบว่าคล้ายกับอารมณ์ผู้คนในช่วงการเสียชีวิตของ 'หูเย่าปัง' ซึ่งภายหลังนำไปสู่การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 2532
อย่างไรก็ตาม ใน 2 เดือนต่อมา กระแสความไม่พอใจเหล่านี้ดูจะเห็นได้น้อยลง โดยถูกแทนที่ด้วยเรื่องราวด้านบวกที่ประเทศจีนสามารถร่วมกันเอาชนะโควิด-19 หรือส่งเวชภัณฑ์จำเป็นให้กับประเทศอื่นในโลกสู้กับไวรัส และการต่อสู้กับการโจมตีมุ่งร้ายจากสหรัฐฯ และชาติอื่นๆ ที่กล่าวโทษรัฐบาลปักกิ่งเรื่องไวรัสระบาด โดยนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในมณฑลหูเป่ยระบุว่า ประชาชนถูกชี้นำได้ง่ายด้วยโฆษณาชวนเชื่อ ในขณะที่สถานการณ์ระบาดดีขึ้นและเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทำงานได้ผล เรื่องราวจึงพลิกกลับ ตอนนี้ประชาชนบอกว่าภาวะการนำที่แข็งแกร่งของพรรคคอมมิวนิสต์คือสิ่งที่ดี
The Guardian ยังรายงานว่าในขณะที่เมืองอู่ฮั่นและพื้นที่อื่นๆ ของจีนค่อยๆ ทยอยกลับสู่ภาวะปกติ ทางการจับตาประชาชนที่อาจซุกซ่อนความไม่พอใจเอาไว้อย่างระมัดระวัง โดย 'จางไห่' ชายวัย 50 ที่สูญเสียพ่อจากไวรัสนี้เมื่อเดือน ก.พ. อยู่ในกรุ๊ปวีแชทกลุ่มหนึ่งซึ่งมีสมาชิกกว่า 100 คน ที่สูญเสียสมาชิกครอบครัวไปจากไวรัส เมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. ญาติผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับแจ้งให้ไปนำร่างของสมาชิกครอบครัวคืนจากสถานที่เก็บศพ แต่จำกัดให้ไปพร้อมกันได้เพียงครั้งละ 5 คน และต้องมีตัวแทนรัฐบาลท้องถิ่นเดินทางไปด้วย นายจางได้ปฏิเสธที่จะไปและภายหลังผู้ดูแลกลุ่มแชทดังกล่าวได้ถูกตำรวจเรียกพบก่อนที่จะมีการลบกลุ่มแชทดังกล่าวทิ้ง ซึ่งจางไห่ซึ่งเรียกร้องรัฐบาลให้ขอโทษระบุว่า ตอนนี้ทุกคนพยายามระมัดระวัง ขณะเดียวกันยังมีประชาชนในเมืองอู่ฮั่นหลายคนที่เผยกับ The Guardian ว่าถูกตำรวจท้องถิ่นข่มขู่และบีบให้สัญญาว่าจะไม่พูด
ในขณะที่ทางการในกรุงปักกิ่งลงโทษเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นด้วยการโยกย้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สังเกตการณ์บอกว่าเป็นยุทธวิธีเก่าในการเบี่ยงเบนเสียงประณามออกจากรัฐบาลกลาง ประชาชนในอู่ฮั่นบอกว่านี่ไม่เพียงพอ เช่น 'อู่' วัย 49 ปี ที่บอกว่าเธอติดไวรัสในเดือน ม.ค. แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการจนถึงเดือน มี.ค. ระหว่างนอนในโรงพยาบาลก็เห็นผู้คนจำนวนมากรอบตัวเสียชีวิต โดยเธอยื่นฟ้องร้องโรงพยาบาลที่รักษาจากการไม่ยืนยันว่าเธอเป็นผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อเธอได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน พร้อมระบุว่าคนทั่วไปเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงได้จำกัดประชาชนจึงพึ่งพารัฐบาลและเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลบอก
ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรฟู่เหนิงอย่าง 'หยานจ้านชิง' บอกว่าโอกาสที่กรณียื่นฟ้องร้องเหล่านี้จะได้รับการยอมรับและเข้าสู่ศาลนั้นมีไม่มากนัก ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องมีแนวโน้มจะถูกข่มขู่และคุกคาม อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็อาจได้รับค่าชดเชยซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการขอโทษ นอกจากนี้ยังมองว่าการฟ้องร้องแบบนี้เป็นการเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาล และช่วยให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นเข้าใจถึงสิทธิของตัวเองและความรับผิดชอบของรัฐบาล รวมถึงยังเป็นวิธีการบันทึกประวัติศาสตร์ ให้คนจำนวนมากขึ้นได้รับรู้ความจริง ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอู่ฮั่นในเวอร์ชั่นทางการเท่านั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางการเมืองอู่ฮั่นได้ปรับตัวเลขทางการของจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 1,290 ราย ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นจาก 2,579 ราย เป็น 3,869 ราย หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อปรับขึ้นเป็น 50,333 ราย จาก 50,008 ราย โดยระบุว่าการปรับตัวเลขใหม่นี้มีขึ้นหลังการตรวจสอบโดยละเอียดจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยรวมเอาจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสนอกโรงพยาบาล เช่นคนที่เสียชีวิตที่บ้านโดยไม่เคยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเข้ามาด้วย ซึ่งการปรับตัวเลขใหม่เกิดขึ้นในระหว่างที่หลายประเทศวิพากษ์วิจารณ์ต่อการรับมือกับไวรัสของจีน รวมถึงกังวลว่าตัวเลขที่ทางการจีนรายงานนั้นอาจไม่ตรงกับความจริง
อ้างอิง The Guardian/BBC/SIXTH TONE/euronews
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: