วันที่ 3 ม.ค. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นชี้แจงครั้งที่ 2 ในการประชุมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 ว่า ตนขอบคุณสำหรับคำแนะนำในเรื่องนโยบายการต่างประเทศที่ สส.ได้แนะนำมา ซึ่งมีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ และมีหลายเรื่องที่ตนอยากจะขอขยายความ อาทิ เรื่องสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมากไม่ใช่เฉพาะ อียูหรืออังกฤษ
เพราะตนเดินทางไปหลายบริษัททั่วโลกที่มาตั้งโรงงานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันถือว่ายังตามหลังประเทศเวียดนาม ถือเป็นความเสี่ยง เพราะถ้าไม่เร่งเจรจาให้บรรลุผล บริษัทต่างๆอาจจะย้ายฐานการผลิต พร้อมชี้แจงอีกว่าเรื่องค่าแรงไม่ใช่เหตุผลหลักบริษัทต่างชาติจะย้ายฐานผลิต แต่ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ประเทศมีความคืบหน้าน้อยมากในเรื่องสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ส่วนจุดยืนของประเทศไทย บนเวทีโลกที่วันนี้มีความเปราะบางอย่างสูง ประเทศไทยชัดเจนว่ามีจุดยืนในความเป็นกลาง และความเป็นเอกราชของประเทศ ส่วนเรื่องการสู้รบระหว่างอิสลาเอลและฮามาส มีคนไทยถูกทำร้าย ก็ได้ใช้วิธีทางการทูตเจรจาที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย และอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองฝ่าย ยกตัวอย่างเช่นการไปพบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งตนก็ได้ขอร้องให้ช่วยดูเรื่องตัวประกันไทยอีก 8 คน และยังเดินหน้าช่วยเหลือต่อไป
ส่วนการเดินทางไปต่างประเทศของตน ก็คิดว่าเป็นที่ประจักษ์ ที่จะสามารถยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เกิดการจ้างงาน และยกระดับรายได้ของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะทำต่อไป แม้จะทำมาแล้ว 100 กว่าวัน หลายเคสก็ประสบความสำเร็จหลายเคส อย่างไรก็ตามต้องติดตามงานอย่างใกล้ชิด เพราะต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
พร้อมชี้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่นโยบายเรื่องภาษี แต่เรามีหลายอย่าง อาทิ ระบบการศึกษาโรงเรียนนานาชาติ ระบบการดูแลสุขภาพที่ดี พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าต่อในการนำบริษัทต่างชาติ ที่มีศักยภาพในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเข้ามา ส่วนเรื่องการพัฒนาทักษะพิเศษ จะมีการดึงต่างชาติเข้ามาช่วยพัฒนาในอุตสาหกรรมใหม่ๆ และเพิ่มทักษะให้ประชาชน
ส่วนเรื่องของประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นความสำคัญอย่างยิ่งกับไทย ปัจจุบันเขาประสบปัญหาหลายอย่าง เราก็จะไปช่วยเป็นผู้นำในการเจรจาเพื่อให้เขามีความเป็นอยู่ที่ดี อาทิ เรื่องปัญหายาเสพติด หรือปัญหา pm 2.5
ขณะที่เรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา จากการที่ตนไปพบกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คาดว่าจะเดินทางมาประเทศไทยวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะมีการพูดคุยกันและหวังว่าจะตกลงกันได้ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนสองประเทศดีขึ้น และมีรายจ่ายลดลง