ไม่พบผลการค้นหา
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียระบุว่า โลกกำลังเผชิญหน้ากับทศวรรษที่ “อาจจะอันตรายที่สุด” นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้ของปูติน เป็นอีกความพยายามในการสร้างความชอบธรรมในการรุกรานยูเครน ในขณะที่ประชาคมโลกกำลังโดดเดี่ยวรัสเซียมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ปูตินยังกล่าวหาอีกว่า ชาติตะวันตกนำนิวเคลียร์มาขู่กรรโชกรัสเซีย เพื่อบังคับให้พันธมิตรของตนหันหลังให้กับทางรัสเซีย ในขณะที่ชาติตะวันตกได้ออกมาประณามรัสเซีย จากการนำอาวุธนิวเคลียร์มาขู่ 

ทั้งนี้ รัสเซียพยายามกล่าวหาว่า ยูเครนจะนำ “ระเบิดสกปรก” หรือระเบิดปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี มาใช้ในพื้นที่รัสเซียยึดครองของตน อย่างไรก็ดี ยูเครนและพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ชาติตะวันตกได้ออกมาระบุว่า ข้ออ้างดังกล่าวของรัสเซียเป็นไปเพื่อการหาเหตุผล เพื่อการยกระดับสถานการณ์การรบที่ตนกำลังพ่ายแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ ในยูเครน

หลังจากการกล่าวหายูเครนซ้ำๆ ของปูติน เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO ได้ออกมาระบุว่า ชาติสมาชิกขององค์กร “ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว” และ “รัสเซียต้องไม่นำข้ออ้างดังกล่าว มาเพื่อการยกระดับสถานการณ์”

ปูตินออกมากล่าวในครั้งล่าสุด ขณะการพูดคุยในการประชุมวัลไดประจำปี หลังจากการพ่ายแพ้ทางทหารหลายครั้งในยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้ และความไม่พอใจของสาธารณชนที่พุ่งสูงขึ้นในรัสเซียเอง สืบเนื่องจากการผลักดันให้ประชาชนชาวรัสเซียราว 300,000 คน ต้องถูกเกณฑ์เข้าเป็นกำลังพลเข้าร่วมทำสงครามในยูเครน

วันก่อนหน้าการประชุมในครั้งนี้ ปูตินได้รับชมการฝึกซ้อมรบที่ตะวันออกไกลจากกรุงมอสโก ซึ่งเป็นการทดสอบการยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ เพื่อใช้ในการตอบโต้การโจมตีทางนิวเคลียร์จากศัตรูครั้งใหญ่ “เราไม่เคยพูดในเชิงรุกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย เราแค่ตอบกลับด้วยการพูดเป็นนัย ต่อความคิดเห็นที่ส่งออกออกมาโดยผู้นำของประเทศตะวันตกเท่านั้น” ปูตินกล่าวในการประชุมวัลได

ปูตินเน้นย้ำถึงคำพูดของ ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร หลังจากกการหาเสียงหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาว่า เธอพร้อมที่จะกดปุ่มยิงนิวเคลียร์ หากเกิดสถานการณ์ที่จำเป็นที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจเช่นนั้น ปูตินย้ำว่าตนแปลกใจที่พันธมิตรของสหราชอาณาจักรไม่คัดค้านคำพูดดังกล่าวของทรัสส์ “เราจะทำอย่างไรดีล่ะ เงียบไว้หรอ แสร้งทำเป็นว่าเราไม่ได้ยินหรอ” ปูตินกล่าว

เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ปูตินกล่าวว่าประเทศของตนมี “อาวุธทำลายล้างที่หลากหลาย” และจะ “ใช้ทุกวิถีทางที่มีให้กับเรา” พร้อมเสริมกล่าวว่า “ผมไม่ได้พูดขู่” คำพูดดังกล่าวของปูตินถูกมองจากหลายฝ่ายว่า ประธานาธิบดีรัสเซียขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ท่ามกลางความขัดแย้งและความพ่ายแพ้ของตนในสมรภูมิยูเครน

ก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีชสหรัฐฯ กล่าวหาปูตินว่ามีส่วนร่วมในการใช้วาทกรรมที่ “อันตรายอย่างมาก” เกี่ยวกับศักยภาพของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ “ทำไมเขาถึงพูดถึงความสามารถในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีล่ะ” ไบเดนถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสหรัฐฯ “ถ้าไม่มีเจตนาจะพูดไปทำไม” ไบเดนย้ำ

ปูตินย้ำถึงการกล่าวโจมตีชาติตะวันตกครั้งล่าสุดของตน และสิ่งที่ปูตินเรียกว่าเป็น “เกมอันตราย นองเลือด และสกปรก” จากการปฏิเสธประเทศอันมีอธิปไตย และเอกลักษณ์เป็นของตนเองอย่างรัสเซีย ปูตินกล่าวยืนยันว่า “การครอบงำอย่างไม่มีการแบ่งแยก” ของฝ่ายชาติตะวันตกในกิจการโลกใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว

“เราอยู่ในเขตแดนทางประวัติศาสตร์ ข้างหน้าอาจเป็นทศวรรษที่อันตรายที่สุด คาดเดาไม่ได้ และในขณะเดียวกันก็มีความสำคัญที่สุด นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง” ปูตินระบุก่อนจะย้ำว่า ฝ่ายตะวันตกไม่สามารถถือครองอำนาจได้อีกต่อไป แต่มี “ความพยายามอย่างหมดอาลัยตายอยาก” ที่จะครองอำนาจโลกต่อไป

ปูติระบุว่า “ระเบียบโลกในอนาคตกำลังก่อตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา” ก่อนจะกล่าวหาชาติตะวันตก ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ กำลังพยายามทำลายรัสเซีย ถึงแม้ว่าปูตินจะไม่มีหลักฐานยืนยันคำพูดของตนก็ตาม


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-europe-63417487?fbclid=IwAR1lSYGO6EszfTxPUXDUvyPEAFnk83aL833eFKHdlO6z9dkN-gghEmLi1eg