ไม่พบผลการค้นหา
ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน บางรัฐบาลในยุโรปตัดสินใจเปิดประเทศอีกครั้ง เพราะข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอัตราการติดเชื้อและการรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่เกี่ยวข้องกัน

ขณะนี้ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดบางประเทศในยุโรปกำลังผ่อนคลายกฎและข้อจำกัดของโควิด-19 เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจของตัวเอง ตั้งแต่การเปิดผับบาร์และร้านอาหาร การยกเลิกข้อบังคับทางกฎหมายเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย ไปจนถึงการยกเลิกมาตรการที่เกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งหมด

แม้ว่าอัตราการติดเชื้อทั่วยุโรปจะยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน แต่ รัฐบาลหลายประเทศตัดสินใจที่จะกลับสู่ ‘ชีวิตปกติ’ อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นว่า สายพันธุ์ใหม่ของโคโรนาไวรัสไม่ได้ทำให้จำนวนคนที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมากเท่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ ประกอบกับการส่งเสริมให้ประชาชนฉีดวัคซีน ‘เข็มบูสเตอร์’ ที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

สหราชอาณาจักร

รัฐบาลอังกฤษประกาศยกเลิก ‘แพลนบี’ ที่บังคับใช้ตั้งแต่ก่อนคริสมาสตร์ปีที่แล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี (27 ม.ค.65) ที่ผ่านมา เป็นการยกเลิกข้อกำหนดทางกฎหมายที่บังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิด ยกเลิกการบังคับให้แสดงบัตรผ่านโควิดเพื่อเข้าผับบาร์และสถานที่จัดอีเวนท์ต่างๆ รวมทั้งยกเลิกคำแนะนำเรื่องการทำงานจากบ้าน (WFH) ข้อกฎหมายที่ยังคงถูกบังคับใช้คือการต้องกักตัวเมื่อตรวจพบว่าตนเองติดเชื้อ

เนเธอร์แลนด์

รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อนญาตให้เปิดบาร์ ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์แล้วเช่นกัน หลังจากที่ถูกปิดมาตั้งแต่ก่อนวันหยุดเทศกาลคริสมาสต์ปีที่ผ่านมา หลังจากเนเธอร์แลนด์บังคับใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่สุดในยุโรปด้วยการประกาศ ‘ล็อกดาวน์บางส่วน’ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงกฎการเว้นระยะห่างทางสังคมไว้ และผู้คนยังคงได้รับคำแนะนำให้ทำงานจากที่บ้าน รวมทั้งมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าพักที่บ้านเช่นเดิม

มาร์ก รุตเตอะ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ พร้อมทีมสาธารณสุขของรัฐบาล กล่าวสุนทรพจน์ประกาศการผ่อนคลายมาตรการเมื่อวันอังคาร (25 ม.ค.65) ที่ผ่านมาว่า การผ่อนคลายมาตรการเป็น “ความเสี่ยง” และคาดว่าผลจากการผ่อนคลายมาตรการจะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยง เพราะการบังคับใช้มาตรการโควิด-19 ต่อไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนและสังคมเช่นกัน

เดนมาร์ก

แม้จะเป็นประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในยุโรป แต่รัฐบาลเดนมาร์กประกาศจะยกเลิกมาตรการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป โดยรัฐบาลเดนมาร์กได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธ (26 ม.ค.65) ที่ผ่านมาว่า จะไม่จัดโรคโควิด-19 เป็นโรคร้ายแรงทางสังคมอีกต่อไปหลังวันที่ 31 ม.ค.65  แต่บางกฎเกณฑ์ เช่น การสวมหน้ากากในสถานดูแลผู้สูงอายุ จะยังคงมีอยู่

“ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เรามีอัตราการติดเชื้อสูงมาก อันที่จริงแล้วสูงที่สุดในการระบาดใหญ่ทั้งหมดที่ผ่านมา ดังนั้น จึงอาจดูแปลกและขัดแย้งกันที่เราพร้อมที่จะยกเลิกมาตรการต่างๆ”  เมตเตอะ เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก กล่าวในแถลงการณ์ ด้านมาวนุส ฮีอุนนิกเกอะ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเสริมว่า

“สถานการณ์ในเดนมาร์กตอนนี้ อัตราการติดเชื้อและจำนวนผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลนั้นแยกส่วนกัน สาเหตุหลักมาจากการฉีดวัคซีนซ้ำของประชาชน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการยกเลิกมาตรการจึงปลอดภัยและเป็นสิ่งที่ควรทำในตอนนี้”

องค์การอนามัยและยาแห่งเดนมาร์กระบุว่า ประมาณร้อยละ 82 ของประชากรเดนมาร์กได้รับการฉีดวัคซีนครบสองโดส และร้อยละ 50 ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามแล้ว


ไม่ใช่ทุกประเทศในยุโรปที่พร้อมผ่อนคลายและยกเลิกมาตรการโควิด-19

อัตราการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกันในยุโรปกำลังส่งผลต่อความเร็วที่รัฐบาลจะสามารถเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจใหม่

ประเทศเยอรมนียังไม่ได้แสดงสัญญาณของการผ่อนคลายข้อจำกัดใดๆ โดยการประชุมที่ผ่านมาระหว่างผู้นำสหพันธรัฐและนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ สรุปว่า อัตราการติดเชื้อที่สูงทำให้ไม่สามารถผ่อนคลายข้อจำกัดที่เข้มงวดในปัจจุบันได้ โดยสภาผู้เชี่ยวชาญในเยอรมนีมีคำเตือนว่า แนวโน้มการติดเชื้อในขณะนี้ยังคงจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อไป

ด้านฝรั่งเศสที่มียอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงถึง 500,000 คน เมื่อวันอังคาร (25 ม.ค.65) ที่ผ่านมา ในวันเดียวกัน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของฝรั่งเศสกล่าวว่า เขาเชื่อว่าการติดเชื้อในฝรั่งเศสน่าจะถึงจุดสูงสุดในเวลาไม่กี่วันนี้ และรัฐบาลได้ส่งสัญญาณไปแล้วว่าจะผ่อนคลายกฎการทำงานจากที่บ้านตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ และจากนั้นจะอนุญาตให้ไนต์คลับกลับมาเปิดได้อีกครั้งในสัปดาห์หลังจากนั้น

ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากในยุโรปรู้สึกอึดอัดกับมาตรการโควิดของรัฐบาล แต่ประชาชนบางส่วนก็วิจารณ์การผ่อนคลายและยกเลิกมาตรการโควิด-19 ของรัฐบาล เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งยังคงต้องเผชิญกับสภาวะความกดดันสูง ที่สำคัญจำนวนเด็กเล็กที่ติดโควิดและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ



ที่มา:

https://www.cnbc.com/2022/01/27/covid-rules-are-being-dropped-in-europe-despite-high-omicron-spread.html

https://www.bbc.com/news/uk-60047438

https://www.politico.eu/article/denmark-becomes-first-eu-country-to-scrap-all-covid-19-restrictions/

https://www.theguardian.com/world/2022/jan/26/as-omicron-fears-subside-europe-starts-to-reopen

https://www.euronews.com/2022/01/25/netherlands-expected-to-loosen-covid-restrictions-as-germany-holds-firm