ไม่พบผลการค้นหา
'ชนก' อัด รบ.ประยุทธ์ ล้มเหลวเรื่องการฟื้นฟู-บำบัด ผู้เสพ-ติดยาเสพติด ผลักภาระให้ประชาชนเผชิญความเสี่ยง ชี้ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า 'เพื่อไทย' เข้ามาเป็นรัฐบาลจะทำให้ดู

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติกรณีเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ ประกาศเรื่องยาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วนสำคัญ 1 ใน 12 ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ตลอดระยะเวลาของการบริหารประเทศโดยพล.อ.ประยุทธ์ ปัญหายาเสพติดล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งด้านป้องกัน ปราบปราม บำบัดฟื้นฟู จากที่ท่าน ส.ส.มนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทยได้อภิปรายก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นต้นน้ำของปัญหา ยิ่งบริหารประเทศปริมาณยาเสพติดที่ถูกจับกุมยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2564 ประเทศไทยสามารถการจับกุมยาไอซ์จำนวน 22,126 กิโลกรัม และยาบ้ากว่า 592 ล้านเม็ด เป็นปริมาณมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวเลขนี้ส่งผลต่อไปถึง “ผู้เสพในฐานะผู้ป่วย” ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีแนวทางลดทอนความเป็นอาชญากรรม เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ ทำให้ผู้เสพยาในฐานะผู้ป่วย ออกจากเรือนจำมาอยู่ในสังคมเพิ่มมากขึ้น แต่กลับถูกเติมปัญหาด้วยการปลดล็อคกัญชาซึ่งทำให้ ผู้เสพ ผู้ติด ในฐานะผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งจากที่ตนกล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติดเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่มีระบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพรองรับ โดยจากข้อมูลสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข 2564 จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากการใช้สารเสพติด จำนวนมากถึง 622,172 ราย มารักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 360,486 ราย คิดเป็น 57.94% ไม่มารักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 261,686 ราย คิดเป็น 42.06% และในจำนวน 622,127 รายนี้ ผู้ป่วยจิตเวชที่ใช้สารเสพติดและมีแนวโน้มก่อความรุนแรง เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการบำบัดทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมอย่างต่อเนื่อง มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 28,250 ราย คิดเป็น 52.82% ไม่มารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี จำนวน 25,234 ราย คิดเป็น 47.18% ตัวเลขนี้ชี้ถึงจำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับการรักษาไม่ต่อเนื่อง 1 ปีมีความเสี่ยงที่จะกลับมาใช้สารเสพติดอีกครั้ง หมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพของระบบการบำบัดฟื้นฟูที่ไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องครบ 1 ปี นี้ยังไม่รวมถึงปัญหาแวดล้อม เช่น สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยจิตเวช, แพทย์จิตเวชที่ขาดแคลน โดยข้อมูลกรมสุขภาพจิต แพทย์จิตเวช 1 คนต้องดูแลประชาชนมาถึงแสนคน และขาดบุรุษพยาบาลที่มีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยจิตเวช สุดท้ายรัฐบาลโดยการนำของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรง และเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ชนก กล่าวว่า งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติดที่จัดสรรให้หน่วยงานหลัก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 9 กระทรวง 26 หน่วยงาน 2 ส่วนราชการเพื่อการป้องกันปราบปรามและฟื้นฟู ปี 2564 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 6,129 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 1,058 ล้านบาท ปี 2565 งบประมาณเกี่ยวกับยาเสพติด 4,281 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข 744 บาท แต่โครงการการติดตามผู้บำบัดได้งบประมาณเพียง 10 ล้านบาท และโครงการบำบัดรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพของกรมการแพทย์มีงบประมาณ 219 ล้านบาท ซ้ำร้ายกว่านั้นจิตแพทย์ที่ถือเป็นบุคลากรหลักของการบำบัดที่ต้องเร่งผลิตจิตแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูบำบัดผู้เสพในฐานะผู้ป่วยงบสำหรับกรมสุขภาพจิดกลับมีเพียง 60 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับการที่ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงเสี่ยงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น เช่น เหตุการณ์ ส.ต.อ.ปัญญา คําราบ (ตร.นอกราชการ) มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเสพยา ก่อเหตุใช้อาวุธมีดและปืนทําร้ายผู้คนในศูนย์เด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ ตรงนี้ถือว่าการจัดสรรงบประมาณน้อยมาก

“ย้อนกลับไปในปี 2544 ทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสงครามกับยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ จำนวนคดียาเสพติดและผู้เกี่ยวข้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้แนวคิดหลัก ภายใต้แสงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ต่อมารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้แนวคิดหลัก ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้เสพติดได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง จนทำให้คดียาเสพติดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่สืบทอดอำนาจมาจากเผด็จการ ที่มีทั้งกฎหมายพิเศษอย่าง ม.44 จัดการกับทุกปัญหาของประเทศจนต่อเนื่องมาเป็นรัฐบาล แต่คดียาเสพติดยังเพิ่มขึ้นทุกปี ภายใต้แนวคิดหลัก "ร้อยนายกฯก็แก้ปัญหายาเสพติด-พนันไม่ได้” หากการเลือกตั้งที่จะมาถึงพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อไทยมายาเสพติดต้องหมดไป คืนชีวิตปลอดภัยให้ประชาชน เราจะทำให้ดู” ชนก กล่าว