นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ได้นำเสนอข้อมูลของธนาคารโลก และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) มาเตือน รัฐบาล และ พลเอกประยุทธ์ และ รัฐบาลได้ให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาชี้แจงตอบโต้ตนนั้น ก็อยากให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ได้นำคำชี้แจงนี้ส่งให้กับธนาคารโลกและเอดีบีโดยตรงเลย เพราะที่ตนนำเสนอเป็นความเห็นขององค์กรสากลระหว่างประเทศ เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจวิเคราะห์ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลนี้ในทางที่ดีขึ้นได้
แต่จากการที่ได้ศึกษาคำชี้แจงแล้วค่อนข้างสับสน เพราะไม่ได้ตอบสิ่งที่ธนาคารโลกและเอดีบีวิเคราะห์ไว้เลย แถมยังตอกย้ำความจริงที่ตลอด 4 ปีมานี้ การเจริญเติบโตของไทยที่โตร้อยละ 0.8 ในปี 2557, ร้อยละ 2.8 ในปี 2558, ร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และร้อยละ 3.9 ในปี 2560 เป็นตัวเลขการเติบโตที่ต่ำมาก และต่ำสุดในอาเชียนมาโดยตลอด 4 ปี
แม้ปีนี้ (2561) จะโตได้ร้อยละ 4.0-4.2 ก็ยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียที่โตเฉลี่ยร้อยละ 6.5% แสดงถึงความย่ำแย่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการรัฐประหาร
ซึ่งการขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่ำเตี้ยไม่น่าจะใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ และไม่มีเศรษฐศาสตร์สำนักไหนที่คิดกันแบบนี้ และการที่ สศค. บอกว่าไทยโตได้ตามศักยภาพก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งต่างจากความเห็นของธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และ เอดีบี ที่บอกมาตลอดว่าไทยโตต่ำกว่าศักยภาพมาก หากการลงทุนภาคเอกชนยังต่ำขนาดนี้ รวมถึงรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังต่ำมาก แถมมีปัญหาการกระจายรายได้ แต่บอกว่าไทยโตได้เต็มศักยภาพ ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริง อีกทั้งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. คลัง เองก็ยังเคยยอมรับว่าไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ
ดังนั้นที่ สศค. พูดอาจจะ���มายถึงโตเต็มศักยภาพของรัฐบาลนี้แต่ไม่ใช่ศักยภาพของประเทศไทยที่ต้องโตกว่านี้มาก และข้อมูลอื่นๆ กลับกลายเป็นการโฆษณาหาเสียงของรัฐบาลทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังลำบากกันอย่างมาก ดังนั้น จึงน่ากังวลในแนวคิดของกระทรวงการคลัง และ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ที่นำโดยนายสมคิดว่ากำลังจะพาประเทศหลงทาง และน่าจะจริงตามที่ธนาคารโลกและเอดีบีบอกไว้ว่า “ไม่เห็นโอกาสที่เศรษฐกิจของไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลปัจจุบัน จะสามารถทำให้ดีขึ้นได้นอกจากจะยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ” และ หากนายสมคิดยังเชื่อมั่นในคำชี้แจงของ สศค. นี้ ก็อยากให้นายสมคิดได้ออกมาชี้แจงกับประชาชนพร้อมกับตน ประชาชนจะได้ทราบข้อมูลที่แท้จริง
ไอเอ็มเอฟชี้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวหลังปี '62 -คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตร้อยละ 3.9
ขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เปิดเผยรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2561 และ 2562 คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี เติบโตร้อยละ 3.9
ส่วนกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยจะเติบโตได้ร้อยละ 6.5 ในปีนี้ และร้อยละ 6.6 ในปีหน้า แม้ว่าจะมีความกังวลเรื่องข้อพิพาททางการค้าและหนี้ในปริมาณสูงก็ตาม
สำหรับเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.9 ในปีนี้ และร้อยละ 3.8 ในปีหน้า ส่วนจีนและอินเดียยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปีนี้ที่ร้อยละ 6.6 และร้อยละ 7.4
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟยังคาดการณ์ ว่าเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติบโตในระดับแข็งแกร่งสุดนับตั้งแต่ปี 2554 จะขยายตัวขึ้นได้อีกเพียง 2 ปีเท่านั้น และจะเริ่มเติบโต ช้าลง หลังจากปี 2562 เป็นต้นไป เนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า อาทิ นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งที่จะตึงตัวขึ้น ผลจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังของสหรัฐที่จะหมดไป และการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่จะชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการปกป้องทางการค้าของหลายประเทศ
นายมัวริซ ออปสเฟล์ด ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของไอเอ็มเอฟระบุว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าอาจนำไปสู่การใช้มาตรการภาษีเพื่อกีดกันการค้า ซึ่งความขัดแย้งทางการค้าจะทำลายเศรษฐกิจโลก และยังเป็นประเด็นหลักของการหารือระหว่างนักเศรษฐศาสตร์กับเจ้าหน้าที่การเงินของประเทศต่างๆ ในการประชุมของไอเอ็มเอฟกับธนาคารโลกที่มีขึ้นในขณะนี้ที่กรุงวอชิงตัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
'เพื่อไทย' ชวน ปชป. แข่งนโยบาย 'แก้ปัญหาปากท้อง' ดีกว่าเล่นการเมืองแบบยุคเก่า
'พิชัย' เตือนนายกฯ ฟังธนาคารโลก-เอดีบี ย้ำไทยโต 'ต่ำสุด' ในภูมิภาค