นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้มีการปรับปรุงเพิ่มค่ารักษาพยาบาล โดยกำหนดให้ลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นในเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท ต่อการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย 1 ครั้ง หากมีการบาดเจ็บรุนแรงหรือเรื้อรังตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดอัตรา ค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย ให้จ่ายเพิ่มได้อีก 100,000 บาท รวมแล้วไม่เกิน 300,000 บาท หรือหากไม่เพียงพอ สามารถจ่ายเพิ่มขึ้นได้อีก รวมแล้วไม่เกิน 500,000 บาท โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์ และหากไม่เพียงพอสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยตามความเห็นของคณะกรรมการการแพทย์พิจารณา คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ให้ความเห็นชอบ เว้นแต่ ลูกจ้างเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐตั้งแต่เริ่มแรกจนสิ้นสุดการรักษาหรือ มีเหตุสมควรที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลของรัฐตั้งแต่เริ่มแรก แต่ภายหลังได้เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐสามารถเบิกเพิ่มได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท
ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมแนะนำนายจ้าง ในกรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน นายจ้างต้องแจ้งการประสบอันตรายตามแบบแจ้งการประสบอันตราย (กท.16) พร้อมสำเนาหนังสือส่งตัวลูกจ้างเข้ารักษาพยาบาล (กท.44) ให้แก่ สำนักงานประกันสังคมที่สถานประกอบการของท่านที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ซึ่งการแจ้ง การประสบอันตราย นายจ้างและลูกจ้างต้องแสดงเอกสารใบเสร็จรับเงิน ประวัติการรักษาพยาบาล และหลักฐานการปฏิบัติงานประกอบการพิจารณา เช่น หลักฐานการลงเวลาทำงาน รวมทั้งให้ข้อเท็จจริง โดยจะทำให้เจ้าหน้าที่วินิจฉัยได้รวดเร็วอีกด้วย
นายสุรเดช วลีอิทธิกุล กล่าวต่อว่า ขอให้นายจ้างให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในสถานประกอบการ นอกจากจะช่วยลดอุบัติภัยและอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่ออัตราการส่งเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 เพราะหากมีการประสบอันตรายมากนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินสมทบปีที่ผ่านมา
ดังนั้น ขอให้นายจ้างช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย เพื่อลดปัญหาลูกจ้างประสบอันตราย กองทุนเงินทดแทนพร้อมดูแลลูกจ้าง ในระบบให้ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ ที่พึงมีพึงได้เพื่อการดำรงชีวิต อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้างต่อไปในอนาคต