ผลวิจัยชื่อว่า "The Greatest Magic of Harry Potter: Reducing Prejudice" หรือ "เวทมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ คือการลดอคติ" ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Journal of Applied Social Psychology ระบุว่าผู้ที่ชื่นชอบหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีแนวโน้มที่จะมีอคติต่อคนที่มีความแตกต่างทางเพศ เชื้อชาติ และศาสนาน้อยลง โดยมีการทำแบบสำรวจถึง 3 ชุด ในเด็กประถม มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย ในอังกฤษและอิตาลี เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับทัศนคติต่อกลุ่มคนที่ถูกตีตราในสังคม ได้แก่ผู้อพยพยลี้ภัยและคนหลากหลายทางเพศ

ปรากฏว่าผลสำรวจทั้ง 3 ชิ้นระบุตรงกันว่าคนที่อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีทัศนคติเปิดกว้างและเห็นอกเห็นใจคนกลุ่มต่างๆในสังคมมากกว่าอย่างชัดเจน เนื่องจากในหนังสือ มีการเน้นย้ำความสำคัญของกลุ่มคนต่างๆ ทั้งมนุษย์หมาป่า ยักษ์ เอลฟ์ประจำบ้าน มักเกิล และแสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของการเลือกปฏิบัติและกดขี่คนเหล่านี้ โดยแฮร์รี่ ตัวเอกของเรื่อง ประสบความสำเร็จจากการเป็นพันธมิตรและได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้ถูกตีตราเหล่านี้  

นอกจากนี้ หนังสือยังส่งสาส์นถึงการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และการใช้ความรุนแรง เนื่องจากกลุ่มผู้สนับสนุนลอร์ดโวลเดอมอร์ ตัวร้ายประจำเรื่อง มีพฤติกรรมเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน เช่นการใช้คำว่า "เลือดสีโคลน" และการยกย่องบูชาเผ่าพันธุ์ผู้วิเศษว่าอยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่น ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบนาซี

ก่อนหน้านี้ ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียของสหรัฐฯ ก็พบข้อมูลที่คล้ายกัน นั่นคือผู้ที่อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติไม่ดีต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในขณะนั้น เนื่องจากนายทรัมป์มีจุดยืนชาตินิยม ต่อต้านผู้อพยพ และมักพูดจาเหยียดเชื้อชาติ-ศาสนา

วรรณกรรมที่โด่งดังมีอิทธิพลอย่างมากในการเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคม ยิ่งเป็นวรรณกรรมที่โด่งดังและถูกผลิตซ้ำในป็อป คัลเจอร์มาก ก็ยิ่งมีผลมาก โดยในศตวรรษที่ 19 วรรณกรรม Uncle Tom's Cabin หรือ "กระท่อมน้อยของลุงทอม" ได้รับการยอมรับว่าช่วยปรับทัศนคติคนให้ต่อต้านระบบทาสมากขึ้น อย่างไรก็ตาม วรรณกรรมจะมีอิทธิพลจนเห็นได้ชัด ต้องเป็นวรรณกรรมที่แพร่หลายในวงกว้างและได้รับความนิยมสูงมาก เช่นแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มียอดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 450 ล้านเล่ม และถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ รวมถึงละครเวทีอีกหลายครั้ง