การกล่าวแถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรสครั้งแรกของนายทรัมป์มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทั้งในสหรัฐฯและทั่วโลก ซึ่งทรัมป์เริ่มต้นถ้อยแถลงโดยการกล่าวว่า นี่คือช่วงเวลาใหม่ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะทำอเมริกันดรีมให้เป็นจริง โดยทรัมป์ยืนยันว่าบนแผ่นดินอเมริกา ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการประสบความสำเร็จ หากทำงานหนัก มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อในความเป็นอเมริกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน หรือมาจากไหน ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังยืนยันว่าเขากำลังสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภูมิใจ เพื่อให้ชาวอเมริกันทั้งประเทศกลมกลืนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ทรัมป์ได้พูดถึงความสำเร็จด้านนโยบายเศรษฐกิจของเขาที่ทำให้อัตราว่างงานในหมู่ชาวแอฟริกันอเมริกันต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้เขาได้รับเสียงตบมือกึกก้อง แต่จากการสังเกตการณ์ สมาชิกสภากลุ่มผิวสีไม่ได้ตบมือให้เขาด้วย ซึ่งสำนักข่าว CNN ได้ทำการเช็คข้อมูลระหว่างการแถลงว่าทรัมป์พูดจริงหรือไม่เรื่องอัตราว่างงานของคนผิวสีต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในยุคเขา ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง โดยอัตราว่างงานของคนผิวสีขณะนี้อยู่ที่ 6.8% แต่ยังสูงกว่าอัตราว่างงานของคนขาว ซึ่งอยู่ที่ 3.7%
อย่างไรก็ตาม CNN ระบุว่าการที่ทรัมป์อ้างว่าได้ลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภาษียืนยันว่าเคยมีการลดภาษีในสหรัฐฯครั้งใหญ่กว่านี้ 4 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1960 คือในยุคของ จอห์น เอฟ เคนเนดี โรนัลด์ เรแกน และในยุคของบารัก โอบามาอีก 2 ครั้ง
ด้านนโยบายต่อผู้อพยพซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์ถูกโจมตีมากที่สุด โดยเฉพาะการยกเลิกการคุ้มครองเหล่าดรีมเมอร์หรือผู้อพยพที่เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายเมื่อยังเป็นผู้เยาว์ โดยทรัมป์กล่าวถึงแผนการจัดการผู้อพยพว่าเขากำลังทำงานหนัก เพื่อปกป้องประชาชนอเมริกันให้ปลอดภัย มั่นคง และสามารถทำอเมริกันดรีมให้เป็นจริงได้ เพราะชาวอเมริกันก็เป็นดรีมเมอร์เช่นกัน
ทรัมป์สัญญาว่าจะปฏิรูปนโยบายผู้อพยพโดยใช้เสาหลัก 4 ประการ คือ
ปัจจุบัน เรื่องนโยบายผู้อพยพเป็นข้อต่อรองหลักในการผ่าทางตันผ่านร่างงบประมาณปี 2018 ซึ่งมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ โดยหากไม่ผ่าน สหรัฐฯอาจต้องถูกชัทดาวน์อีกครั้ง
ในด้านความมั่นคง ทรัมป์ยังกล่าวว่าสหรัฐฯจะต้องพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ให้ทันสมัย และสร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ใหม่อีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานจริง แต่ต้องมีไว้เพื่อกดดันไม่ให้ชาติอื่นมารุกรานสหรัฐฯได้ และยอมรับว่าอาจมีช่วงเวลามหัศจรรย์สักวันหนึ่งที่ทุกประเทศจะจับมือกัน เลิกครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างถาวร แต่น่าเสียดายที่โลกเราตอนนี้ยังไปไม่ถึงช่วงเวลานั้น
เขายังกล่าวถึงความผิดพลาดในอดีตของสหรัฐฯ ที่หละหลวมเกินไปในการดำเนินการกับผู้ก่อการร้าย เช่นกรณีที่เคยจับกุมนายอาบู-บักร์ อัล แบกห์ดาดี ผู้นำกลุ่ม IS ได้เมื่อปี 2004 และขังเขาไว้ในคุกทหารอเมริกันในอิรัก แต่ก็กลับปล่อยตัวไป
ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้สมาชิกสภาคองเกรสวางความเห็นต่างและหันมาสมานฉันท์กันเพื่อลดความแตกแยกขัดแย้ง เพื่อทำงานรับใช้ผู้ที่เลือกตนเองเข้ามานั่งในสภา นั่นก็คือชาวอเมริกันทั้งประเทศ โดยทรัมป์บอกว่าเขาพร้อมที่จะยื่นมือให้กับทุกฝ่าย โดยถ้อยแถลงของทรัมป์ในช่วงนี้ ทำให้สมาชิกสภาคองเกรสเกือบทั้งหมดลุกขึ้นยืนตบมือให้เขา แต่แนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้ลุกขึ้น
ทรัมป์ขึ้นกล่าวแถลง State of the Union ซึ่งมีชาวอเมริกันรับชมการถ่ายทอดสดประมาณ 40 ล้านคนทั่วประเทศ ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำ โดยหลังบริหารประเทศมา 1 ปีเต็ม เขาได้รับคะแนนนิยมเพียง 38% ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ภาพ: AP