วันที่ 9 ก.ค. 2566 ที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เดินสายขอบคุณคะแนนเสียงจากประชาชนก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. นี้ว่า ถึงฟ้าจะร้อง ในเมื่อประชาชนก็ไม่ทิ้ง ตนก็ไม่ทิ้งประชาชนเช่นเดียวกัน เรามาไกลเกินกว่าจะแพ้แล้ว เหลืออีกนิดเดียวพวกเราจะถึงเส้นชัยไปด้วยกัน และเหลือเวลาอีกเพียง 4 วันเท่านั้น ซึ่งจะเป็นเวลาประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกกำลังจับตาดูว่า สังคมไทยเราจะเป็นไปอย่างไร แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า เวลาที่เหลืออีก 4 วัน เราถึงเส้นชัยแน่นอน และเส้นชัยนั้นจะเป็นของใครไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ของประชาชนทุกคน
พิธา กล่าวอีกว่า วันที่ 13 ก.ค. นี้เป็นการตัดสินใจของพรรคการเมืองทั้งสภาล่าง และสภาสูง ที่จะต้องตัดสินใจร่วมกันในรัฐสภาว่า อีก 1 ทศวรรษของประเทศไทย หน้าตาจะเป็นแบบไหน ถ้าตัดสินใจถูกก็ต้องให้โอกาสประเทศไทย และอยู่กับอนาคตของประเทศไทยที่จะเจริญไม่เป็น 2 รองใครแน่นอน แต่ถ้าหากเลือกผิด ฝืนมติประชาชน ทำให้ความไม่ปกติของการเมืองไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังไม่ปกติต่อ ก็ไม่รู้ว่า โอกาสทองแบบวันที่ 13 ก.ค. จะมาอีกเมื่อไหร่
“การคืนความปกติให้กับการเมือง เริ่มต้นมาไกลแล้ว ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิทั่วประเทศ ให้คะแนนพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง และให้พรรคเพื่อไทยมาอีก 10 ล้านเสียง รวมทั้งหมดได้เสียงข้างมากกว่า 25 ล้านเสียง แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม” พิธา กล่าว
พิธา กล่าวอีกว่า 2 เดือนผ่านมาหลังการเลือกตั้ง เหมือนจะเลือกตั้งเสร็จแล้วแต่ยังไม่เสร็จ เป็นเพราะความไม่ปกติของการเมืองไทยที่มาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งล้มล้างอำนาจประชาชนตลอด เดี๋ยวก็ยึดอำนาจ นิติสงคราม หรือยุบพรรค โอกาสนี้คือโอกาสประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่จะคืนความปกติให้สังคมไทย
พิธา ย้ำว่า สมาชิกรัฐสภาทั้ง 750 คน มีโอกาสจะคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้า ให้เราเท่าเทียมกัน ให้เราเท่าทันโลกกับเขาสักที ฉะนั้นขอส่งข้อความนี้ไปยังพี่น้องประชาชน ถ้าพวกคุณไม่ถอย ตนก็ไม่ถอยเช่นกัน เพราะเราพิสูจน์แล้วว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน และวันที่ 13 ก.ค. นี้ ตนพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นใหญ่ จะอยู่ที่รหัสไปรษณีย์ไหนในประเทศไทย เลือกหรือไม่เลือกตน แต่ขออนุญาตให้นายกรัฐมนตรีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ รับใช้พวกคุณ
พิธา ยังฝากถึงสมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีกว่า ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า พวกเรามาจากประชาชน เราคือผู้แทนฯ ที่ต้องสู้เพื่อพี่น้องประชาชน เพราะเราทุกคนล้วนเป็นผลลัพธ์ของความไม่ปกติทางการเมือง ทุกคนผ่านการยุบพรรค และผ่านการทำรัฐประหารจากความไม่ปกติของการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้านก็ตาม ถ้าท่านสามารถให้โอกาสประเทศไทย และคืนความเป็นปกติให้กับการเมืองไทย อย่าพลาดโอกาสนี้ เพราะประชาชนอาจจะไม่ให้อภัยเรา ประชาชนอาจหมดศรัทธาในระบบผู้แทนรัฐสภา ดังนั้นอย่าให้ประชาชนผิดหวัง
ส่วนข้อความที่บอกถึงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พิธา กล่าวว่า แม้ว่าที่มาของพวกเราจะแตกต่างกัน แต่เราคือนักการเมืองของประชาชนเหมือนกัน ตนจึงขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของท่านที่บอกว่า จะเป็น ส.ว. ของพี่น้องประชาชน และลงมติตามรัฐบาลเสียงข้างมาก ตนขอชื่นชม และขอขอบคุณ ส.ว. ที่ให้ความเห็นว่า “ไม่ว่าจะเรื่องนโยบายอะไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องของ ส.ว. ดังนั้นเขาจะไม่โหวตสวนมติของประชาชนแน่นอน”
พิธา กล่าวว่า ภายหลังได้ทลายกำแพง และแสดงความเข้าใจกับ ส.ว. พบว่า พวกเขาก็เป็นห่วงชาติบ้านเมือง ต้องการแก้ไขปัญหาการศึกษา กีฬา และเศรษฐกิจ ไม่ต่างจากตน พวกเขาคือคนที่มีประสบการณ์ที่สามารถช่วยประเทศได้ ฉะนั้นเวลา 1 ปีที่เหลือ หลังจากตนเป็นนายกฯ จะขออนุญาตปรึกษา และทำงานกับ ส.ว. เพื่อประชาชน พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีดีลลับ มีแต่ดีลรัก”
“ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงานเสมอ ฝนมันตกมานานมากพอแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาฟ้าเปิด อย่าฝืนธรรมชาติ เพราะฝนมันตกทั่วฟ้า พอกันทีที่ปล่อยให้ฝนตกขึ้นฟ้า ให้ระบบเป็นระบบ” พิธา กล่าว
พิธา กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ แต่จะเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุด บางครั้งไม่ได้มีคำตอบในทุกเรื่อง เพราะเรื่องอุบัติใหม่ๆ ไม่มีใครในประเทศไทยแก้ไขปัญหาได้ แต่สัญญาว่า หากมีปัญหา หรือคิดไม่ออก จะกลับมาที่ถนนเพื่อฟังพี่น้องประชาชน และถวายชีวิตนี้ให้พี่น้องประชาชน และตนสัญญากับประชาชนไม่ได้ว่า การเดินทางของพวกเราจะราบรื่นไปทุกอย่าง มันคงมีอุปสรรคเรื่อยๆ แต่ตราบใดที่พวกเรายังเดินอยู่ด้วยกัน รับรองว่า คุ้มค่า และไม่เหงาอย่างแน่นอน อีกทั้ง วันนี้อาจจะยังดูมืดมิด แต่ไม่มีเหน็ดเหนื่อย เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อเราร่วมมือกัน อะไรก็เป็นไปได้ ถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยความหวัง