เพราะในเวลานี้ทั้ง ‘2ป.’ สู้กันเต็มสูบ ชนิดที่ว่า ‘ใครดีใครได้’ หลัง ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปสร้างรังใหม่ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ทำการ ‘ตกปลาบ่อพี่-บ่อเพื่อน’ ดูด ส.ส.พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์ ไปอยู่รังใหม่ ส่วน ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ใช้ ‘ยุทธวิธีปาดหน้า’ เพื่อ ‘ล็อกคอ ส.ส.’ หรือ ‘ชิงตัว’ มาไว้ก่อน ไม่ให้หนีไปซบ รทสช.
แต่หากเช็คขุมกำลังฝั่ง ‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ ยังเหนือชั้นกว่า ‘บิ๊กตู่-รทสช.’ เพราะฝั่ง ‘บิ๊กป้อม’ ยังถือครอง ส.ส.บ้านใหญ่-ตระกูลใหญ่ภูธร ไว้ได้แน่น มีหลุดไปอยู่กับ รทสช. ไม่กี่คน แต่หากดูกระแสชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ยังคงมีภาษีดีกว่า ‘บิ๊กป้อม’ ที่เรียกเรตติ้งให้พรรค แต่ในอีกด้านหาก รทสช. ไม่มี ‘บิ๊กตู่’ ก็กลายเป็นพรรคที่มีหุ้นราคาถูก
ดังนั้น 1 เดือนจากนี้ ‘บิ๊กตู่’ ที่ขึ้นเป็น ปธ.กรรมการยุทธศาสตร์ฯ รทสช. ที่ถูกมองเป็น ‘หัวหน้าพรรคตัวจริง’ ต้องเร่งเครื่องระดมขุนพลมาร่วมพรรค ก่อนจะชิง ‘ยุบสภา’ ช่วง 1-2 สัปดาห์แรก มี.ค.นี้ เป็น ‘แท็คติกทางกฎหมาย’ ของ ส.ส. ที่คิดย้ายพรรค จะต้องมีสังกัดใหม่แค่ภายใน 30 วัน ต่างจากกรณีหาก นายกฯ อยู่ครบวาระต้อง 90 วัน
ดังนั้น 1 เดือน จากนี้ไปการ ‘เปลี่ยนโปร-ย้ายค่าย’ จะยิ่งหนักหน่วงขึ้น ควบคู่กับการที่ กกต. เตรียมการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการ ‘แบ่งเขตเลือกตั้ง’ ที่จะมีผลต่อการส่งผู้สมัคร ส.ส. ทั้งหมด 400 เขต เพราะการแบ่งพื้นที่จะลงไปถึงระดับ ‘แขวง-ตำบล’ มีผลต่อผู้สมัครที่มี ‘พื้นที่’ ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า ‘เจ้าของพื้นที่’ นั่นเอง
การแตกทัพของ ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ทำให้บรรดา ‘นักเลือกตั้ง’ ต้องคิดหนัก แต่ไม่เกินกำลัง โดยเฉพาะ ‘กลุ่มสามมิตร’ แห่ง พปชร. ที่แตกทัพ ‘สามขา’ ทำการเมืองแบบ ‘ดาวกระจาย-เล่นไพ่หลายใบ’ ส่ง ‘เสี่ยแฮ้งค์’อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไปอยู่ ‘รทสช.-บิ๊กตู่’
ส่วน ‘2ส.' 'สมศักดิ์ เทพสุทิน' รมว.ยุติธรรม - 'สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รมว.อุตสาหกรรม คู่ดูโอ้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ยังคงกอดคออยู่ พปชร. ช่วย ‘บิ๊กป้อม’ ต่อไป แต่กลับส่ง ส.ส.มุ้งสามมิตร ไปอยู่ ‘เพื่อไทย’ เพราะกลุ่มสามมิตร ประเมินแล้วว่า ‘กระแสเพื่อไทย’ ขายได้ในระดับพื้นที่ แต่อำนาจยังไม่หลุดจาก ‘ขั้วอำนาจ 3ป.’ ตราบใดที่ยังมี 250 ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกฯ
ล่าสุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รีเทิร์นกลับ พปชร. กลับสู่อ้อมกอด ‘บิ๊กป้อม’ อีกครั้ง โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ เรียกว่า ‘ลูกๆ’ กลับมาพร้อมหน้า เพราะ ‘บิ๊กน้อย’พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา , ‘สองกุมาร’ ที่ก่อตั้ง พปชร. ทั้ง ‘อุตตม สาวนายน’ กับ ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ ที่เปรียบเป็นร่างทรงของ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ก็กลับมา พปชร. งานนี้ ‘สนธิรัตน์’ ถึงกับยก พล.อ.ประวิตร เป็น ‘เล่าปี่’ ที่รู้จักใช้งานคน
รวมทั้งมี ‘วิรัช รัตนเศรษฐ’ ที่อยู่กับ พล.อ.ประวิตร ไม่ไปไหน คือคนที่เปรียบ พล.อ.ประวิตร เป็น ‘พ่อ’ พร้อมเปรียบ ‘ขุนพล-ลูกพรรค’ เป็นลูก
รวมทั้ง ‘อ.แหม่ม’นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พปชร. ที่ในเวลานี้มีบทบาทมากขึ้น ลงพื้นที่ต่างๆ และดูแลพื้นที่ กทม. กับ ‘จั้ม’สกลธี ภัททิยกุล ลูกชาย พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เพื่อน ตท.6 กับ พล.อ.ประวิตร ไม่นับรวม ‘ขุนพลทหาร-ตำรวจ’ นอกราชการ ที่ทำงานให้ ‘บิ๊กป้อม’ ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม ตท.20 นำโดย ‘บิ๊กณัฐ’พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ‘บิ๊กแป๊ะ’พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.
แต่ที่ต้องจับตาคือ ร.อ.ธรรมนัส ถึงบทบาทจากนี้ เพราะ ‘ธรรมนัส’ เคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน มักถูกโยงถึง ‘สายสัมพันธ์’ ที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ที่ใกล้ชิดอดีต ‘เจ้าแม่วังบัวบาน’ ทำให้มีการเชื่อมไปถึงกรณี ‘สามมิตร’ ที่เอา ส.ส. ไปลง ส.ส.เพื่อไทย ว่าเป็น ‘สูตรพันธมิตรการเมือง’ ชนิด ‘ซ่อนรูป-อำพราง’ หรือไม่
ทำให้ภาพของ พปชร. กลายเป็น ‘พรรคนักเลือกตั้ง’ โดยสมบูรณ์ หลัง ‘บิ๊กป้อม’ ปักธงเป็น ‘พรรคไร้ขั้ว-ไร้ขัดแย้ง’ ทำงานได้กับทุกพวก
แต่ที่ชัดคือไม่จับมือกับ ‘พรรคก้าวไกล’ แน่นอน เพราะมีเรื่อง ม.112 เป็นจุดชี้ขาด ซึ่ง ม.112 พรรคเพื่อไทยก็ไม่แตะเช่นกัน แต่ในฝั่ง ‘บิ๊กตู่’ หรือ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ก็ชัดเจนว่าเป็น ‘พรรคเชิงอุดมการณ์’ และมีท่าทีไม่จับมือกับ ‘พรรคเพื่อไทย’ เพราะเพียง ‘บิ๊กตู่’ ได้ยินชื่อ ‘ทักษิณ’ ก็ออกอาการไม่พอใจเสมอ
ซึ่งผิดกับ ‘บิ๊กป้อม’ ที่นิ่งเฉยกับชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ในระยะหลังๆมานี้ แม้อาจเคยมีวิวาทะในยุค คสช. ที่ ‘บิ๊กป้อม’ โต้ ‘ทักษิณ’ ในเรื่องการพร้อมพูดคุยปรองดอง ให้ไปเคลียร์คดีต่างๆก่อน ทำให้ ‘ทักษิณ’ ย้อนกลับเรื่อง ‘เกาะโต๊ะ’ ขอเป็น ผบ.ทบ.
สูตรการจัดตั้ง ‘รัฐบาล’ ในอนาคต จึงมีการมองว่า ‘ขั้ว 3ป.’ ยังคงเป็น ‘แกนหลัก’ โดยเฉพาะ ‘บิ๊กป้อม’ ที่ยังคงรับบท ‘ผู้จัดการรัฐบาล’ ต่อไป หากในกรณีที่ ‘บิ๊กตู่’ ยังคงเป็น นายกฯ พรรคร่วมรัฐบาลยังคง ‘สมการเดิม’ คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ-พรรคพลังประชารัฐ-พรรคภูมิใจไทย-พรรคประชาธิปัตย์
ส่วนในกรณีที่หาก ‘เสี่ยหนู’อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นำทัพ ภท. มาเป็นที่หนึ่ง จะยอมถอยให้ ‘3ป.’ หรือไม่ และต้องฝ่าด่าน 250 ส.ว. ในการขึ้นเป็นนายกฯ อีก แม้จะเคยมี ‘สูตรพิสดาร’ เพื่อเขี่ย ‘บิ๊กตู่’ พ้นอำนาจ คือ ‘สามผสาน’ คือ ‘ภูมิใจไทย-พลังประชารัฐ-เพื่อไทย’ ออกมา ซึ่งก็ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธกันหมด
หรือจะเป็นอีกสูตร หากดัน ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกรัฐมนตรี คือการจับมือของ ‘เพื่อไทย-พลังประชารัฐ’ และพรรคอื่นๆ ให้ทะลุเกิน 250 เสียง แน่นอนว่ามีโอกาสฝ่าเดิน 250 ส.ว. ได้ด้วย
ทว่าก็มีเสียงแว่วใน ทำเนียบฯ ทำนองว่า ระวังจะมีสูตรชนิด ‘พลิกกระดาน’ ถึงการจับมือระหว่าง ‘เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์’ มีการอ้างชื่อระดับ ‘บิ๊กเนม ปชป.’ ไปคุยกับฝั่ง ‘เพื่อไทย’ แต่กูรูการเมืองลายครามที่ขึ้นลงตึกไทยคู่ฟ้า-บัญชาการ ที่ ทำเนียบฯ บ่อยๆ มองว่าโอกาสเกิดขึ้นยาก
แถมมวลชนฝั่ง ‘เพื่อไทย-คนเสื้อแดง’ ก็รับไม่ได้ เพราะเคยบาดเจ็บ-ปะทะกันมาในอดีต ที่ผ่านมา ‘เพื่อไทย’ เคยต้องนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ที่ก่อนหน้านี้เคยเกี่ยวข้องกับ กปปส. มาขอโทษมวลชนเสื้อแดง
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ‘ขั้วอำนาจ 3ป.’ ยังคงอยู่ในทุก ‘สมการอำนาจ’ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร
อย่าลืมว่า ‘กติกา’ ถูกออกแบบมายุคใด หนทางเดียวของ ‘เพื่อไทย’ ในการสู้คือ ‘แลนด์สไลน์’ เพื่อวัดพลังกับ 250 ส.ว. ให้ประชาชนกดดัน และด่านต่อไปคือ ‘ด่านความมั่นคง’ ที่สุดท้าย จะจบด้วยการ ‘ยึดอำนาจ’ อีกหรือไม่ เพราะ ‘การเมืองไทย’ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร
แถม ศัตรู ของ ศัตรู คือ มิตร !!