ผลการเลือกตั้งอังกฤษที่ออกมากลายเป็นภาวะ "รัฐสภาแขวน" ไม่มีใครได้เสียงข้างมากเด็ดขาด และต้องตั้งรัฐบาลผสม ทำให้เศรษฐกิจตกอยู่ในความเสี่ยง และยังส่งผลต่อการเจรจา Brexit ที่จะกระทบกับเศรษฐกิจโลกด้วย
ทันทีที่ผลเลือกตั้งอังกฤษเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ออกมาชัดเจนว่าเกิดภาวะ "รัฐสภาแขวน" หรือการที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงเกิน 326 เสียง และต้องมีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหุ้น FTSE 100 (ฟุตซี 100) ของตลาดลอนดอน ดีดตัวสูงขึ้นร้อยละ 1 เนื่องจากมีหลายบริษัททำกำไรได้จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากเงินปอนด์ที่ตกลง แต่หุ้นที่ขึ้นไม่ได้หมายความว่านักธุรกิจจะปลื้มกับสภาวะเช่นนี้ เพราะหุ้นที่เป็นบริษัทเอกชนจำนวนมากในอังกฤษตกฮวบลง เนื่องจากเงินปอนด์ที่ตกต่ำลงถึงร้อยละ 1.7 มีผลให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น บีบความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคให้ตกต่ำลง
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับรัฐบาลผสม ยังสร้างความกังวลให้กับนักธุรกิจอย่างมาก เนื่องจากเกรงว่าการเจรจา Brexit ระหว่างรัฐบาลและตัวแทนของสหภาพยุโรป ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ จะได้รับผลกระทบจากภาวะไร้เสถียรภาพของรัฐบาล
ผู้บริหาร Clyde & Co บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายชื่อดัง ประเมินว่ารัฐสภาแขวนเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้หลังเลือกตั้งสำหรับภาคธุรกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะไม่แน่นอนอยู่แล้ว จาก Brexit ยังกลับถูกซ้ำเติมด้วยความไม่แน่นอนจากการตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งทำให้ยังไม่มีความชัดเจนว่านโยบายด้านการค้าการลงทุนของรัฐบาลใหม่จะออกมาเป็นแบบใด
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการเจรจาเงื่อนไข Brexit กับสหภาพยุโรปจะเริ่มขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจให้เลื่อนการเจรจาออกไปก่อน หนึ่งในนั้นคือประธานสหพันธ์ธุรกิจรายย่อยของอังกฤษ หรือ FSB National ที่ยืนยันว่าอังกฤษควรเดินเข้าสู่โต๊ธเจรจาอย่างเข้มแข็งและมีเสถียรภาพ นายกรัฐมนตรีที่จะเป็นตัวแทนการเจรจา ต้องเป็นผู้ที่จะบริหารประเทศในช่วงของการออกจากสหภาพยุโรปในปี 2019 เพราะฉะนั้น จึงควรเลื่อนการเจรจาออกไปก่อนในจังหวะที่การเมืองอังกฤษยังไม่แน่นอนเช่นนี้
ประธานหอการค้าอังกฤษก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่าโดยปกติ การเจรจาจะต้องมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อังกฤษจะเดินเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างแน่ชัดว่ารัฐบาลจะมีนโยบายต่อการออกจากสหภาพยุโรปอย่างไร เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการต่อรองเพื่อตั้งรัฐบาลผสม และผลเลือกตั้งก็แสดงให้เห็นแล้วว่าประชาชนจำนวนมากไม่พอใจแนวทางการออกจากอียูอย่างเด็ดขาด หรือ Hard Brexit ของพรรครัฐบาล ทำให้คนไม่น้อยหันไปเทคะแนนให้พรรคแรงงานและพรรคเสรีประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม การระงับหรือเลื่อนการเจรจา Brexit อาจยิ่งส่งผลเสียต่ออังกฤษ โดยนักเศรษฐศาสตร์จาก Aberdeen Asset Management มองว่าการเงื่อนหรือระงับการเจรจา จะทำให้อังกฤษตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ และทำให้สหภาพยุโรปสามารถเร่งเกม หรือกดดันอังกฤษได้มากขึ้น ที่สำคัญ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รัฐสภาแขวน มักส่งผลให้เกิดรัฐบาลที่อายุไม่ยืนยาว ซึ่งทำให้การเมืองอังกฤษในอนาคตอันใกล้นี้ อยู่ในความไม่แน่นอนอย่างมาก หากต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลกลางการเจรจา Brexit ก็จะทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าการออกจากสหภาพยุโรปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และความสัมพันธ์อังกฤษ-อียู จะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่